วันเด็กที่น่าห่วง


เพิ่มเพื่อน    

 (1)

            เห็นว่า...วันเสาร์วันวาน 13 มกราคม คือ วันเด็ก ซึ่งวันประเภทนี้เท่าที่ผ่านมา มันคงคล้ายๆ อย่างที่ครูบาอาจารย์ นักวิชาการบางราย ท่านว่าไว้นั่นแหละว่า ประมาณ อีเวนต์ประจำปีที่แทบหาแก่นสาระอะไรไม่ได้ ทำนองนั้น ดูเหมือนอาจารย์ที่ว่า ก็คืออาจารย์ สมพงษ์ จิตระดับ ที่ท่านออกจะตรงไป-ตรงมา ปานประดุจขวานผ่าซากมาโดยตลอด...

(2)

            แต่ดูเหมือนจะมีบางอาจารย์...ที่ท่านค่อนข้างมองโลกในแง่ดี ถ้าว่ากันตามรายงานข่าวของ เอ็กซ์ไซท์-ไทยโพสต์ ที่หยิบเอาความคิด ความเห็น ในเรื่องนี้ มารายงานเอาไว้ในหน้า 3 ของฉบับวันศุกร์ที่ผ่านมา คือมองว่าอย่างน้อยก็ยังดี...ที่วันวันนี้ทำให้บรรดาเด็กๆ พอรู้ๆ ว่า ยังมี ผู้ใหญ่ ที่คอยเป็นห่วง เป็นใยอยู่บ้าง ไม่ใช่ไม่เห็นหัว ไม่ดูดำดูดี ยังพอหันไปนึกถึงเด็กๆ ในช่วงวันวันนี้ ติดปลายนวมเอาไว้ซักเล็กน้อย การมอบ คำขวัญวันเด็ก ที่ดูจะกลายเป็นธรรมเนียม ประเพณี อันเลิกไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แม้ว่ารุ่นบรรพบุรุษโคตรเหง้าสักหลาด ท่านไม่เคยคิดจะนิรมิตคำขง คำขวัญ อะไรมากมาย และก็คงไม่ใช่เป็นเพราะท่านไม่เป็นห่วง เป็นใย พวกเด็กๆ แต่ท่านอาจจะห่วงตามแบบฉบับของท่าน ซึ่งคงไม่เหมือนกับพวกฝรั่ง ที่เราไปลอก ไปก๊อบปี้ อะไรทำนองนี้มาเป็นธรรมเนียม ประเพณี ในภายหลัง...

(3)

            แต่ก็นั่นแหละ...ถึงแม้ว่าเราจะแสดงออกถึงความเป็นห่วง เป็นใย พวกเด็กๆ จนต้องมานั่งประดิดประดอย คำขวัญ กันในทุกๆ ปี เพื่อให้เป็นหลักคิด เป็นข้อชี้แนะ ชี้นำ หรือเป็นแนวทางอะไรก็แล้วแต่ แต่ก็อย่างที่อาจารย์ ผู้หลัก-ผู้ใหญ่ แทบทุกรายท่านว่าเอาไว้ในรายงานข่าวหน้า 3 ของ เอ็กซ์ไซท์-ไทยโพสต์ นั่นแหละว่า ถ้าหาก ผู้ใหญ่ นั้น ไม่ได้เห็นความสำคัญของเด็กแบบจริงๆ จังๆ มองวันเด็กว่าเป็นแค่ อีเวนต์ประจำปี อย่างที่อาจารย์ สมพงษ์ ท่านว่าไว้ หรือออกคำขวัญไปแบบเรื่อยๆ เจื้อยๆ แค่เอาไว้ให้เด็ก ท่องจำ พอเป็นพิธี แต่ตัวเองไม่ได้สร้างอะไรเอาไว้รองรับ ไม่ได้มีนโยบาย หรือการปฏิบัติใดๆ ที่จะรองรับ คำขวัญ นั้นๆ ไม่ได้กระทำตนให้เป็นตัวอย่าง แบบอย่าง ที่ดีกับเด็กๆ อีเวนต์ที่ว่า...มันคง แทบหาแก่นสาระอะไรไม่ได้ จริงๆ นั่นแล...

(4)

            เท่าที่เคย ผ่านความเป็นเด็ก มาเมื่อหลายต่อหลายทศวรรษที่แล้ว...เมื่อลองกลับไปทบทวน หวนคิด ต้องสารภาพว่า คำขวัญวันเด็ก ที่ตัวเองพอจำได้แม้จนบัดนี้ ก็คงได้แก่คำขวัญ จงทำดี...จงทำดี...และจงทำดี ของจอมพล ถนอม กิตติขจร นั่นแหละท่าน เหตุที่จำได้...ก็เพราะมัน จำง่าย ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนโยบาย หรือการปฏิบัติ การสร้างสิ่งต่างๆ เอาไว้รองรับ หรือการแสดงความเป็นตัวอย่าง แบบอย่าง อะไรเอาเลยแม้แต่น้อย เพราะหลังจากออกคำขวัญ จงทำดี...จงทำดี...และจงทำดี แค่ไม่กี่ปี จอมพล ถนอม ท่าน...ก็ต้องไป จงทำดี อยู่นอกบ้าน นอกเมือง อยู่เมืองบอสตัน อเมริกง อเมริกา อะไรไปโน่นเลย ด้วยเหตุเพราะสิ่งที่ท่านทำนั้น ผู้คนจำนวนไม่น้อย เขากลับไม่คิดว่าดี ก็เลยต้องกลายเป็น กรรม ของท่าน...

(5)

            ส่วน รู้คิด-รู้เท่าทัน-สร้างสรรค์เทคโนโลยี คำขวัญของท่านนายกฯ บิ๊กตู่ ในปีนี้นั้น จะจำยาก จำง่าย หรือไม่ อย่างไร คงต้องไปถามพวกเด็กๆ เขาดู แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...การสร้างสภาวะแวดล้อม บรรยากาศ เอาไว้รองรับ เพื่อให้เด็ก รู้คิด หรือ รู้เท่าทัน นั้น...คงต้องยอมรับว่า มันออกจะไม่เอื้ออำนวย หรือไม่ค่อยปรากฏให้เห็นมากมายซักเท่าไหร่นัก อาจด้วยเหตุ เพราะสิ่งที่เรียกว่า เทคโนโลยี นั่นเอง ที่มันมักส่งผลให้บรรดาเด็กๆ ทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่ก้มหน้า ก้มตา กดโน่น กดนี่ จนไม่อยากจะคิด หรือแทบไม่เสียเวลาคิด สู้สนุกสนาน เอามันซ์ซ์ซ์ เล่นกง เล่มเกม อะไรต่อมิอะไรไปเรื่อย เมื่อไม่คิด ก็คงไม่มีโอกาสเท่าทัน บรรดาเทคโนโลยีที่น่าจะนำไปสู่ การสร้างสรรค์ มันเลยอาจกลายเป็นเทคโนโลยีที่นำไปสู่ การทำลาย เอาง่ายๆ ไม่ว่าทำลายเด็ก หรือทำลายสังคมได้เสมอๆ...

(6)

            ส่วนถ้าไม่อยากจะให้เด็กๆ นำเทคโนโลยีไปใช้ในการทำลาย แทนที่จะสร้างสรรค์ คงหนีไม่พ้นต้องนั่งไทม์แมชชีน ย้อนยุคกลับไปหาคำขวัญของ จอมพล ถนอม กิตติขจร โน่นเลย คือต้อง จงทำดี...จงทำดี...และจงทำดี เท่านั้น ต้องมีคุณธรรม ศีลธรรม ความดีงามในแต่ละสิ่งแต่ละอย่างเป็นองค์ประกอบ มันถึงจะพอควบคุมเทคโนโลยีให้เป็นไปในทางสร้างสรรค์ ขึ้นมาได้บ้าง แต่ก็นั่นแหละ...ไม่ว่ายุคจอมพล ถนอม หรือยุค บิ๊กตู่ การสร้างบรรยากาศ สภาวะแวดล้อม เพื่อเอาไว้รองรับ คำขวัญ แต่ละยุค แต่ละสมัย มันไม่ค่อยปรากฏให้เห็น หรือไม่ได้สอดคล้องกับคำขวัญ ในแต่ละช่วง แต่ละระยะ เอาเลยแม้แต่น้อย...

(7)

            ด้วยเหตุนี้...บรรดาเด็กๆ ทั้งหลาย คงต้องมั่วๆ กันเอาเองนั่นแล ไม่ว่าจะจำคำขวัญได้-ไม่ได้ในแต่ละปี แต่คงต้องหาทาง สร้างสิ่งแวดล้อมเอาไว้รองรับตัวเองกันโดยเฉพาะ สิ่งแวดล้อมที่จะทำให้ตัวเองสามารถ จงทำดี...จงทำดี...และจงทำดี ดังที่จอมพล ถนอม ท่านได้นำเสนอไว้ตั้งแต่รุ่นปู่ รุ่นพ่อ เพื่อที่จะให้สิ่งดีๆ จากการทำดี ทำให้ตัวเองพอที่จะ รู้คิด-รู้เท่าทัน-สร้างสรรค์เทคโนโลยี ตามที่ บิ๊กตู่ ได้นำเสนอไว้ในรุ่นนี้ได้บ้าง แต่ถ้าเอาแต่ก้มหน้า ก้มตา กดโน่น กดนี่ ไปตามสภาวะแวดล้อม ตามกระแสสังคม 4.0 แล้ว ไม่ว่าเด็ก ไม่ว่าผู้ใหญ่ หรือแม้แต่สังคมทั้งสังคม ย่อมเป็นอะไรที่ น่าห่วง และน่าวิตกกังวลไปด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งปวง นั่นแล.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"