ว่าด้วย...ความเป็นทหาร


เพิ่มเพื่อน    

ไม่เคยมีโอกาสแอบเข้าไปใน เฟซบุ๊ก ของ วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายทหารชื่อดัง แต่ได้อ่านจากเว็บไซต์ มติชน ที่ไปหยิบเอาเรื่องราวซึ่งถูกโพสต์ไว้ในเฟซบุ๊กของผู้สื่อข่าวรายนี้ มานำเสนอเป็นข่าวประกอบภาพ ว่าด้วยกรณีที่ผู้บัญชาการทหารบกแห่งกองทัพบกไทย พลเอก เฉลิมชัย สิทธิสาท เดินลากกระเป๋าน้องๆ แน้งๆ ขึ้นเครื่องบินโดยสารไปปฏิบัติภารกิจเยี่ยมเยียนลูกน้องในภาคใต้ ในลักษณะไม่ต่างไปจากคนเดินดินกินข้าวแกงโดยทั่วไป ไม่ต้องมีลูกน้อง บริวาร บอดี้การ์ดเดินล้อมหน้า ล้อมหลัง ไม่ต้องมีเครื่องบินส่วนตัว มีแถวทหารยืนเรียงรายต้อนรับ แบบประเภทช้างเหยียบนา พญาเหยียบเมือง อะไรทำนองนั้น...

--------------------

            ภาพดังกล่าวเลยถูกหยิบเอามารายงาน เล่าสู่ จนกลายเป็นข่าวคราวที่สร้างความประทับใจให้กับใครต่อใครมิใช่น้อย ถึงลักษณะอาการ ติดดิน ของผู้ซึ่งมีตำแหน่ง ยศถาบรรดาศักดิ์ ระดับผู้บังคับบัญชาสูงสุดของกองทัพบกทั้งกองทัพ แต่กลับเป็นอะไรที่ ติดดิน จนอาจเป็นบุคลิก อุปนิสัย เอาเลยก็ว่าได้ เพราะก่อนหน้านั้น...ก็เคยปรากฏภาพที่ท่านใช้ช่วงเวลาว่างๆ ไปเป็น จิตอาสา นั่งจับเข่าคุยกับพวกจิตอาสาด้วยกัน โดยมีไม้กวาดวางพิงอยู่ข้างๆ หรือข่าวคราวที่ท่านขับรถโทงๆ เทงๆ ไปเยี่ยมลูกน้องตามพื้นที่ต่างๆ ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องมีใครมาจัดคิว จัดตาราง จับแพะไปชนแกะ เหมือนอย่างบรรดาพวก ทหารการเมือง ทั้งหลาย...

--------------------

            และจากภาพดังกล่าวนี่เอง...ที่ทำให้ ท่านขุนน้อย อดย้อนคิดไปถึงอดีตนายทหารอีกรายหนึ่ง ที่ถือเป็น ผู้หลัก-ผู้ใหญ่ ในทางส่วนตัวของตัวเองขึ้นมามิได้ นั่นคือ พลเอก ทวิช เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา อดีตรองผู้บัญชาการทหารบก และอดีตรัฐมนตรีกลาโหมยุคเมื่อหลายต่อหลายสิบปีที่แล้ว รายนั้น...ไม่ใช่เฉพาะ ติดดิน เท่านั้น แต่ถึงขั้นลงไป คลุกดิน ควักดินเอามาปั้นให้เป็นก้อนๆ ให้เป็นดาว เป็นหม้อ เป็นไห เป็นภาชนะที่พอนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์กับส่วนรวม ประเทศชาติบ้านเมืองได้เมื่อไหร่ ท่านพร้อมที่จะเอาด้วย ไปด้วยกันทั้งสิ้น ส่วนอะไรที่เป็นแค่ประโยชน์ส่วนตัว เป็นอำนาจ อิทธิพล บารมีในทางส่วนตัว ท่านพร้อมที่จะลด-ละ-เลิก ทิ้งไว้ชนิดไม่แยแส ไม่เหลือคราบไคลความเป็น พลเอกอัตราจอมพล เป็นแค่ปุถุชนคนเดินดิน ไม่ต่างไปจากคนธรรมดาโดยทั่วไป...

--------------------

            บั้นปลายชีวิตในตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่...บ้านที่ท่านอยู่อาศัยกับภรรยาและลูกๆ หลานๆ ก็แค่ บ้านจัดสรร ธรรมดาๆ หลังเล็กๆ ที่อาศัยเงินเดือน เงินบำเหน็จ บำนาญ ผ่อนส่งมาเป็นสิบๆ ปี รถราประจำตำแหน่ง หรือรถส่วนตัว ก็ไม่ได้มีใช้ เวลาจะลาก จะชวน ท่านไปไหนต่อไหน ก็ต้องขับรถ โฟล์คเต่า คันเล็กๆ เก่าๆ ของตัวเอง ไปรับท่านถึงบ้าน ด้วยขนาดและน้ำหนักตัวท่านที่ใหญ่โตมโหฬาร แม้จะอึดอัดขัดข้องอยู่ไม่น้อย ในการนั่งอยู่ในรถเต่า แต่ท่านไม่เคยคิดจะบ่น จะว่า เอาเลยแม้แต่น้อย แถมระหว่างขับไป-ขับมา รถดันเสียขึ้นมาซะอีกต่างหาก อดีตรัฐมนตรีกลาโหม อดีตรองผู้บัญชาการทหารบก อดีตมือขวาผู้ใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจราชศักดิ์ระดับเกือบจะสูงสุดในประเทศไทยในยุคหนึ่ง อย่างพลเอก กฤษณ์ สีวะรา ท่านยังอุตส่าห์ลงมาเข็นรถ ชนิดเหนื่อยระดับลิ้นหอบ ลิ้นห้อย...

--------------------

            เรียกว่า...แทบไม่ต้องถามว่าท่านมี นาฬิกา ซักกี่เรือน ข้อมือ นิ้วมือ ไม่เคยมีอะไรเกะกะรกรุงรังให้เห็นเอาเลยแม้แต่น้อย เพราะสิ่งที่สำคัญเอามากๆ สำหรับ ความเป็นทหาร ของท่าน มันถูกบรรจุอยู่ใน สมอง และ หัวจิต-หัวใจ นั่นแหละเป็นหลัก เรื่องของการเมือง เรื่องของยุทธศาสตร์ระดับประเทศ ที่ท่านเคยมีส่วนเข้าไปรับผิดชอบ ระดับเคยนั่งโต๊ะเจรจากับผู้นำระดับโลกอย่าง เติ้งเสี่ยวผิง มาก่อน ท่านพยายามนำมาเรียบเรียง ถ่ายทอด ให้เป็นประโยชน์ต่ออนุชนรุ่นหลัง ในหนังสือพ็อกเกตบุ๊กหลายต่อหลายเล่มที่ท่านได้เขียนทิ้งเอาไว้ และส่วนที่อยู่ในหัวจิต-หัวใจ คือการยึดมั่นใน ความเป็นทหารตลอดกาล อะไรที่ก่อให้เกิดกระทบกระเทือนต่อ สถาบันกองทัพ ท่านพร้อมที่จะหลีกเลี่ยง ปกป้อง พร้อมที่จะเข้าไปคลี่คลายเพื่อให้ความขัดแย้ง เส้นแบ่ง ระหว่างความเป็นทหารกับพลเรือน ถูกลบออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้...

--------------------

            แม้ท่านจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกทหารที่เรียกตัวเองว่า ทหารประชาธิปไตย เอาเลยแม้แต่น้อย แต่การที่ท่านได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมในรัฐบาลพลเรือนบางยุค บางสมัย ก็พอมีส่วนช่วยสกัดขัดขวางแผนการ รัฐประหาร หรือช่วยชะลอไม่ให้ความทะเยอทะยานในทางอำนาจของ ทหารการเมือง บางราย บรรลุเป้าหมายเอาง่ายๆ แต่เมื่อบรรดาพวกนักประชาธิปไตย นักเลือกตั้ง ออกอาการเลอะๆ เทอะๆ เกินกว่าที่ท่านจะรับได้ ท่านก็พร้อมถอยออกมาห่างๆ กลับไปเป็นปุถุชนคนธรรมดา อยู่ในบ้านหลังเล็กๆ เขียนหนังสือ หนังหา ใช้ชีวิตบั้นปลายให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น แก่ส่วนรวม แก่ประเทศชาติบ้านเมือง จนตราบเท่าวินาทีสุดท้าย...

--------------------

            อดีตทหารอย่างพลเอก ทวิช เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา ยังมีอยู่อีกหรือไม่ มากหรือน้อยขนาดไหน อันนั้น...คงต้องไปสำรวจตรวจสอบกันเอาเอง แต่อย่างน้อย...ภาพที่ท่านผู้บัญชาการทหารบก พลเอก เฉลิมชัย สิทธิสาท ท่านลากกระเป๋าเดินทางโตงๆ เตงๆ ขึ้นเครื่อง หรือนั่งจับไม้กวาดคุยกับพวก จิตอาสา อยู่ริมถนน ก็พอช่วยให้เกิดความรู้สึกถึง ความเป็นทหาร ในแง่ที่น่าดื่มด่ำ ประทับใจ อยู่พอสมควร และอันที่จริง...ก็ต้องถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกแล้ว ชอบแล้ว สำหรับกรณีที่อดีตนายทหารอย่างพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่าในฐานะหัวหน้า คสช. หรือในฐานะนายกรัฐมนตรีก็ตาม ที่ได้ออกมาประกาศยืนยันถึงสถานะตัวเองว่า เป็น นักการเมือง ที่เคยเป็น อดีตทหาร มาก่อน เพราะอย่างน้อย...ไม่ว่าเส้นทางทางการเมืองของท่านจะยังเป็น ขาขึ้น หรือ ขาลง ก็ตาม สถาบันกองทัพ อันถือเป็นสถาบันหลักของบ้านเมือง และไม่ได้เกี่ยวอะไรกับอำนาจ บารมี หรือผลประโยชน์ในทางส่วนตัวของท่าน จะได้ไม่ต้องพลอยกระทบกระเทือนไปด้วย...

--------------------

            ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Helmuth Von Moltke... The Army is the most outstanding institution in every country, for it alone makes possible the existence of all civic institution.- กองทัพเป็นสถาบันที่สำคัญยิ่งในทุกๆ ประเทศ ก็เพราะกองทัพเท่านั้น ที่จะทำให้สถาบันพลเรือนทั้งหลาย ได้ตั้งต้นขึ้นมาได้...

--------------------


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"