อย่าเป็นกลางแบบ “กลางกลวง”


เพิ่มเพื่อน    

 

ช่วงที่ท่านพลเอก ชำนาญ นิลวิเศษ อดีตปลัดกลาโหมยังมีชีวิตอยู่...ท่านเคยเล่าให้ฟังถึงครั้งที่ประเทศไทยส่งทหารไทยไปร่วมรบในสงครามเกาหลี เมื่อ 60 กว่าปีที่แล้ว ว่าไม่เพียงแต่ทหารแต่ละรายจะไม่ได้รู้เหนือ รู้ใต้ รู้ตื้น-ลึก-หนา-บาง ต่อปมปัญหาความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลีเอาเลยแม้แต่น้อย บางราย...ยังแทบจินตนาการไม่ออกว่าประเทศเกาหลีที่ตัวเองถูกส่งไปรบ ไปตายนั้น ลักษณะออกมาแนวไหน แบบไหน ถึงขั้นแซวกันไป-แซวกันมา ว่าอาจต้องเยี่ยวแล้วเด็ดปัสสาวะทิ้ง อะไรทำนองนั้น...

---------------

อย่างไรก็ตาม...หลังจากทหารไทยได้มีส่วนร่วมในสมรภูมิเกาหลีเรียบร้อยแล้ว นอกเหนือไปจากส่งผลให้เพลง อารีดัง ของศิลปินรุ่นเดอะ อย่างคุณ สมศรี ม่วงศรเขียว จะดังระเบิดเถิดเทิงนับแต่นั้นเป็นต้นมา ยังส่งผลให้ประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา กลายเป็นอะไรที่นุงนัง นัวเนีย กับคุณพ่ออเมริกายิ่งขึ้นเรื่อยๆ ชนิดถึงขั้นเคยถูกกล่าวหาว่าเป็น สมุนจักรวรรดินิยม หรือ สุนัขรับใช้อเมริกา เอาเลยถึงขั้นนั้น เพราะการเปิดโอกาสให้คุณพ่ออเมริกาเข้ามาจัดตั้งฐานทัพ สถานีเรดาร์ ส่งเครื่องบินลำแล้วลำเล่าไปหย่อนระเบิดใส่หัวพี่น้องชาวลาว ชาวเวียดนาม กัมพูชา อันเป็นสิ่งที่ยังลบล้างไม่หายไปจาก

---------------

ส่วนสมรภูมิเกาหลีในอนาคตข้างหน้า จะมีโอกาสอุบัติขึ้นมาอีกหรือไม่??? อันนั้น...คงยากซ์ซ์ซ์ที่จะคาดคะเนได้ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ในการประชุมหารือเรื่องการแก้ปัญหาในคาบสมุทรเกาหลี ที่เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ในช่วงวันอังคารที่ 16 มกราคมที่ผ่านมา อันมีคุณพ่ออเมริกาและแคนาดาเป็นตัวตั้งตัวตี ในจำนวนประเทศประมาณ 16-20 ประเทศที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมพบปะ หารือ ในเวทีการประชุมครั้งนี้ ก็ดันมีประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาเข้าร่วมด้วย ไม่ต่างไปจากอีกหลายต่อหลายประเทศที่เคยส่งทหารไปร่วมกับกองทัพอเมริกาในการเปิดฉากสงครามในคาบสมุทรเกาหลี เมื่อช่วงปี ค.ศ.1950-1953 ส่วนบางประเทศที่ไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับเกาหลีด้วยเลย อย่างเช่นเอธิโอเปียที่อยู่ไกลถึงแอฟริกาโน่น หรือโคลอมเบีย ที่ยังแก้ปัญหาโคเคนในประเทศตัวยังไม่เสร็จ ก็ถูกดึง ถูกลาก ให้เข้าไปร่วมเวทีประชุมคราวนี้ด้วย...

---------------

ที่น่าสนใจเอามากๆ ก็คือว่า...ประเทศที่น่าจะมีส่วนเกี่ยวพันกับการหาทางออก ทางไป ต่อปมปัญหาในคาบสมุทรเกาหลีอย่างชนิดไม่อาจปฏิเสธได้ อย่างเช่นจีนและรัสเซีย ที่มีพรมแดน ชายแดน ติดกับเกาหลีแท้ๆ กลับไม่ได้รับเชิญ แถมยังออกอาการกีดกันไม่อยากให้มายุ่งด้วยอีกต่างหาก เวทีประชุมคราวนี้...จึงถูกบรรดานักสังเกตการณ์ต่างประเทศโดยทั่วไปมองว่า คงไม่ได้เป็นเวทีที่คิดจะช่วยหาทางออก ทางแก้ ปัญหาคาบสมุทรเกาหลีในปัจจุบันแต่อย่างใด แต่น่าจะเป็นเวทีที่จัดเอาไว้สำหรับการตั้งกลุ่ม ตั้งก้อน การจัดตั้ง พันธมิตรทางทหาร เพื่อที่จะหาทางทำให้ การเพิ่มแรงกดดัน ต่อเกาหลีเหนือ ยกระดับไปสู่การอาศัยมาตรการทางทหารได้อย่างเป็นน้ำ เป็นเนื้อ มากขึ้นนั่นเอง เช่นกรณีที่มีข่าวว่าอาจถึงขั้นต้องปิดล้อมน่านน้ำเกาหลี ตรวจตราดักจับบรรดาเรือสินค้าต่างๆ ที่ต้องสงสัยว่าจะลักลอบขนถ่ายน้ำมันกลางทะเลให้กับเกาหลีเหนือ อันถือเป็นการฝ่าฝืนมติสหประชาชาติอะไรทำนองนั้น...

---------------

ด้วยเหตุนี้...การที่ประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ได้ถูกลาก ถูกดึง ให้เข้าไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามจัดตั้ง พันธมิตรทางทหาร หรือความพยายามที่จะอาศัยมาตรการทางทหารในการแก้ปัญหาคาบสมุทรเกาหลี แทนที่จะใช้มาตรการเจรจา อย่างที่จีนและรัสเซียเขาได้เสนอแนะเอาไว้ หรือได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของผู้ที่เน้นหนักในการคิดใช้ สงคราม เป็นทางออก ไม่ใช่ สันติภาพ เป็นทางออก อากัปกิริยาเช่นนี้เลยเป็นอะไรที่ออกจะน่าหวาดเสียวมิใช่น้อย ยิ่งก่อนหน้านั้น...ผู้นำรัฐบาลอย่างท่านนายกฯ บิ๊กตู่ ท่านเคยแสดงออกถึงความร่วมมือของประเทศไทยในการ แซงก์ชั่นเกาหลีเหนือ ว่า รัฐบาลไทยได้ทำอะไรที่เลยไปซะยิ่งกว่าที่สหประชาชาติกำหนดไว้ให้ เอาเลยถึงขั้น อันนี้...เลยยิ่งเสียววูบเสียววาบหนักขึ้นไปใหญ่!!!

---------------

คือความพยายาม เป็นกลาง อันถือเป็น วิเทโศบาย ของประเทศเล็กๆ อย่างประเทศไทย ที่เคยใช้เป็นเครื่องมือในการเอาตัวรอดมาโดยตลอด แม้เป็นสิ่งที่เหมาะสม สอดคล้อง เป็นสิ่งที่รัฐบาลแต่ละรัฐบาลพยายามยึดถือไว้เป็นอันดับแรก แต่การ เป็นกลาง ที่ว่านี้...ก็ใช่ว่าจะเป็นกันได้ง่ายๆ โดยเฉพาะภายใต้แรงกดดันของมหาอำนาจแต่ละฝ่าย ที่มุ่งจะให้แต่ละประเทศต้อง เลือกข้าง ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะความเป็นกลางโดยที่ไม่ได้คิดสำรวจ ตรวจสอบ วิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์ความเป็นไปของโลกให้ชัดเจน แจ่มแจ้ง ทะลุปรุโปร่ง โอกาสที่จะกลายสภาพเป็น กลางกลวง หรือกลางแบบไม่ได้ใช้สมอง ใช้ความคิด ความอ่าน อะไรมากมาย ประเภทเมื่อเปิดโอกาสให้จีนเข้ามาสร้างรถไฟความเร็วสูง ต้องหันไปลากญี่ปุ่นให้มาสร้างรถไฟความเร็วสูงตามไปด้วย ชนิดไม่รู้วิ่งกันไปไหนต่อไหน อันออกจะเป็นอะไรที่น่าเวียนหัวซะเหลือเกิน...

---------------

ว่าไปแล้ว...ฉากสถานการณ์ความเป็นไปของโลกหลังๆ นี้ คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า การคบหาเป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับคุณพ่ออเมริกานั้น ออกจะเป็นอะไรที่ อันตราย ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นตั้ง 149 ประเทศเลยต้องโหวตสวนทางกับความต้องการของอเมริกาในกรณีการรับรองกรุงเยรูซาเลมไปหมาดๆ ยุโรปทั้งยุโรปประกาศเพิ่ม ความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ยอมปล่อยให้ถูกลาก ถูกจูง โดยอเมริกาเหมือนแต่ก่อนต่อไปอีกแล้ว กระทั่งเยอรมนี ยังหันไปคว้า เงินหยวน มาใส่ในตระกร้าเงินทุนสำรอง โดยไม่ได้คิด กำดอลลาร์ ล้วนๆ แบบที่บ้านเรายังคงกำไป-กำมาชนิดเงินบาทแข็งโด่เด่อยู่จนทุกวันนี้ การที่ รัฐบาลเผด็จการ บ้านเรา ได้รับความยอมรับ เห็นอก เห็นใจ จากนักประชาธิปไตยในอเมริกา จนไม่ว่าการจัดอันดับอะไรต่อมิอะไรดีวัน ดีคืน อย่างเห็นได้ชัดเจน อันนั้น...ถือเป็นสิ่งที่น่ายินดีอยู่แล้วนั่นแหละ แต่ยังไงๆ คงต้องใช้สติปัญญา ใช้ความระแวดระวัง อยู่พอสมควร อย่าให้ออกไปทาง กลางกลวง จนอาจต้องย้อนยุคกลับไปขุดเพลง อารีดัง กลับมาร้องใหม่ แบบชนิดไม่รู้เหนือ รู้ใต้ อะไรเอาเลย...

---------------

ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Lycurgas of Sparta (อีกครั้ง)... Close alliance with despots are never safe for the free states.- เป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับรัฐที่วางอำนาจกดขี่ ไม่เคยเป็นความปลอดภัยสำหรับเสรีรัฐทั้งหลาย...

---------------


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"