อุทธรณ์พิพากษากลับคุก3ปี'ศักดาพินิจ'อดีตบิ๊กธอส.ปล่อยกู้มิชอบ-หนี้เน่า200ล้าน


เพิ่มเพื่อน    

18 ม.ค.61 -  ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรี ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีหมายเลขดำ อ.1342/2555 ที่พนักงานอัยการคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายโอฬาร เกตุพันธุ์ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการสาขาภูมิภาค 2 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.), นายปิยะรัตน์ อุศุภรัตน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายกิจการสาขาภูมิภาค 2 ธอส., นายปัญญา สุดใจ หัวหน้างานสินเชื่อสาขาฝ่ายกิจการสาขาภูมิภาค 1 ธอส. และนายศักดา หรือศักดาพินิจ ณรงค์ชาติโสภณ รองกรรมการผู้จัดการ ธอส. เป็นจำเลยที่ 1- 4 ในความผิดฐานกระทำผิดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11 

คำฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า กรณีเมื่อเดือน พ.ค. - ธ.ค.2540 จำเลยทั้ง 4 ได้ร่วมกันกระทำผิดคือ การทำโครงการแก่งหลวง ครันทรี มาลีน่า อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี ซึ่งจัดสรรที่ดินว่างเปล่า 119 แปลงบนเนื้อที่ประมาณ 200 ไร่ มีนายจุนเกียรติ หรือจิรพัฒน์ เบ้าสุวรรณ เป็นผู้ดำเนินโครงการแก่งหลวง ครันทรี มารีน่า โดยให้ ธอส. สนับสนุนสินเชื่อแก่ลูกค้ารายย่อย ต่อมาเดือน พ.ค. 2540 นายศักดาพินิจ จำเลยที่ 4 ได้อาศัยตำแหน่งหน้าที่สั่งการให้จำเลยที่ 2-3 ไปตรวจสอบโครงการกับนายจุนเกียรติและพนักงานสินเชื่อของ ธอส.สาขานครปฐม และประเมินราคาของบริษัทโปรเสปคเจอรัล จำกัด และพนักงานประเมินราคาของบริษัท 1989 คอนซัลเทนส์ จำกัด เพื่อเตรียมเสนอขอกู้เงิน แต่เมื่อมีการตรวจสอบพื้นที่เพื่อประเมินราคาหลักทรัพย์ประกันที่จะขอสินเชื่อ ปรากฏว่าราคาประเมินที่ดินมีราคาต่ำกว่าราคาที่เจ้าของโครงการกำหนดเป็นราคาขายมาก 

โดยขณะตรวจสอบโครงการมีการให้สินบนแก่พนักงานประเมินของ ธอส.นครปฐม และพนักงานประเมินของเอกชนเพื่อเป็นการจูงใจให้มีการประเมินราคาสูงขึ้นจากผู้ประเมินราคา แต่ผู้ประเมินไม่รับสินบนและประเมินราคาที่ดินให้เพียงครึ่งหนึ่ง จึงไม่สามารถประเมินราคาตามที่โครงการแจ้งมาได้ เมื่อไม่สามารถประเมินราคาตามที่เสนอได้ นายศักดา จำเลยที่ 4 จึงได้สั่งการ ให้เปลี่ยนรูปแบบการขอสินเชื่อใหม่เป็นโครงการแหล่งเงินกู้ระยะยาว ซึ่งไม่ต้องใช้ราคาประเมินจากบริษัทผู้รับจ้างดังกล่าว และสามารถบังคับสั่งการให้พนักงาน ธอส.ทำรายงานประเมินราคาที่ดินตามที่ต้องการได้ รวมทั้งสามารถควบคุมสั่งการและอนุมัติสินเชื่อได้ง่ายขึ้น เพื่อง่ายต่อการสั่งการบังคับบัญชาของจำเลยที่ 4 ซึ่งผู้จัดการ ธอส.นครปฐม ได้โต้แย้งให้จำเลยที่ 4 ปรับลดราคาประเมินโครงการลงเพื่อลดความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น แต่จำเลยที่ 4 ยืนยันมีคำสั่งว่าไม่ต้องลดราคาประเมินเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ตนเองและพวก กระทั่งโครงการดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากจำเลยที่ 1 ทั้งที่จำเลยที่ 1 ทราบความผิดปกติของโครงการว่าอยู่ในความดูแลของจำเลยที่ 4 เช่นเดียวกับโครงการอื่นๆ ที่เคยก่อความเสียหายกับ ธอส.มาแล้ว

ต่อจากนั้นจำเลยทั้ง 4 คน ได้ร่วมดำเนินการให้สินเชื่อแก่ลูกค้ารายย่อยในโครงการดังกล่าวเป็นแหล่งเงินกู้ระยะยาว ซึ่งไม่ต้องใช้ราคาประเมิน อีกทั้งจำเลยที่ 3 ได้เร่งรัดการทำงานของพนักงานในฝ่ายกิจการสาขาภูมิภาคที่มีหน้าที่ทุกขั้นตอน ทำให้พนักงานสินเชื่อไม่สามารถวิเคราะห์สินเชื่อโดยใช้วิจารณญาณและดุลพินิจในการพิจารณาพยานหลักฐานของลูกค้าผู้กู้อย่างละเอียดรอบคอบ จนมีลูกค้าจำนวน 65 ราย กู้ยืมเงินจาก ธอส.และผิดนัดไม่ชำระเงินคืนตามสัญญา จนทำให้ ธอส.ได้รับความเสียหาย 218,961,621 บาท โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาจำเลยตามความผิด เหตุเกิดที่แขวง - เขตห้วยขวาง กทม. และที่อื่นเกี่ยวพันกัน โดยจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ 

คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 8 ก.ย. 2559 ให้ยกฟ้องจำเลยทั้ง 4 โดยเห็นว่าอัยการโจทก์มีพยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ ธอส. ต่างเบิกความสอดคล้องกันว่า การปล่อยสินเชื่อของจำเลยที่ 1-4 เป็นไปตามระเบียบของ ธอส. และพวกจำเลยก็ไม่ได้รับผลประโยชน์จากการปล่อยสินเชื่อดังกล่าว ดังนั้นพยานหลักฐานโจทก์จึงยังไม่เพียงพอว่าจำเลยที่ 1-4 ร่วมกันกระทำผิดตามฟ้อง

อย่างไรก็ตามอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาในขณะนั้นได้ทำความเห็นแย้งไว้ในคดีว่า การกระทำของจำเลยทั้งหมด เข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งเห็นควรให้จำคุกนายศักดาพินิจ จำเลยที่ 4 เป็นเวลา 5 ปี ส่วนจำเลยที่ 1, 2 และ 3 ให้จำคุกคนละ 3 ปี 

ต่อมาอัยการโจทก์ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาขอให้ศาลลงโทษจำเลยทั้งหมด

ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า การที่จำเลยที่ 1-3 พิจารณาผ่านคำขอกู้ของลูกค้า ย่อมถือว่าไม่เป็นการผ่านงานตามขั้นตอนหรือระเบียบของ ธอส.พยานหลักฐานของจำเลยที่ 1-3 ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1-3 ร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ ธอส. อันเป็นการร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้อง

ส่วนนายศักดาจำเลยที่ 4 แม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานมาเบิกความยืนยันว่าจำเลยที่ 4 ได้สั่งการให้จำเลยที่ 1-3 และพนักงาน ธอส.คนอื่นๆ ดำเนินการเกี่ยวกับโครงการแก่งหลวง ครันที มารีน่า แต่ก็มีพยานที่เบิกความต่อคณะอนุกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (อนุ ป.ป.ช.) ว่า จำเลยที่ 4 เป็นผู้อนุมัติให้สินเชื่อแก่ลูกค้าในโครงการฯ ถึง 65 ราย และยังได้ความจากพยานซึ่งเบิกความว่า จำเลยที่ 2-3 ไปร่วมตรวจสอบโครงการ เนื่องจากได้รับคำสั่งจากจำเลยที่ 4 ซึ่งปกติจะไม่มีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานใหญ่ไปร่วมตรวจสอบด้วย ทั้งพฤติการณ์ของจำเลยที่ 4 ที่ได้เร่งรัดสั่งการการอนุมัติสินเชื่อให้แก่ลูกค้ารายย่อยของโครงการให้เสร็จโดยเร็ว รวมทั้งจำเลยที่ 4 ยังได้สั่งการให้จำเลยที่ 1 ผ่านงานของโครงการแก่งหลวงฯ อย่างรวดเร็ว 

ส่วนที่จำเลยที่ 4 อ้างว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการอนุมัติโครงการว่า เป็นโครงการระยะยาวแต่เป็นการอนุมัติตามระเบียบ ธอส. และไม่รู้จักกับนายจุนเกียรตินั้น ศาลเห็นว่า จำเลยที่มีเพียงตัวจำเลยคนเดียวเป็นพยานเบิกความลอยๆ โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดมาสนับสนุน ซึ่งขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่ได้ความจากจำเลยที่ 1-3 ยืนยันว่าจำเลยที่ 4 เป็นผู้สั่งการให้เร่งรัดในขั้นตอนต่างๆ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้จำเลยกับนายจุนเกียรติเคยร่วมงานในโครงการอื่นๆ มีความสนิทสนมกันมาก่อน ข้อเท็จจริงจำรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 4 สั่งให้จำเลยที่ 1-3 และพนักงาน ธอส.คนอื่นๆ ดำเนินการเกี่ยวกับโครงการแก่งหลวงฯ ในการอนุมัติให้ลูกค้ากู้เงินจาก ธอส.โดยมิชอบด้วยระเบียบข้อบังคับของธนาคาร 

การกระทำของจำเลยที่ 4 เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ ธอส. ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องมานั้นศาลอุทธรณ์ฯ ไม่เห็นพ้องด้วยอุทธรณ์โจทก์ฟังขึ้น พิพากษากลับว่าจำเลยทั้ง 4 มีความผิดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11 ประกอบ 83 ให้จำคุกจำเลยที่ 1-3 คนละ 1 ปี ให้จำคุกจำเลยที่ 4 เป็นเวลา 3 ปี คำให้การของจำเลยที่ 1-3 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาบ้าง ลดโทษให้คนละ 1 ใน 3 คงจำคุกคนละ 8 เดือน 

ต่อมานายโอฬาร, นายปิยะรัตน์ และนายศักดา จำเลยที่ 1, 2 และ 4 ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์คนละ 800,000 บาท ขอปล่อยชั่วคราวระหว่างฎีกา ศาลพิจารณาคำร้องพร้อมหลักทรัพย์แล้ว อนุญาตปล่อยชั่วคราวจำเลยทั้งสาม ส่วนนายปัญญา จำเลยที่ 3 ไม่ได้ยื่นหลักทรัพย์ประกันตัวในวันนี้แต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำตัวนายปัญญาไปคุมขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพต่อไป.

ขอบคุณภาพจาก ไทยรัฐ


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"