'ลุงตู่' ขาลงเรตติงตก คนรอบข้าง 'เป็นพิษ'


เพิ่มเพื่อน    

   

ภาพลักษณ์รัฐบาล บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ระยะหลังๆ มานี้ไม่ดีเลย
    เพราะนอกจากเรตติงจะไม่เปรี้ยงปร้างแล้ว ปฏิกิริยาของสังคมที่มีต่อ รัฐบาลท็อปบูต ยังออกไปในแง่ลบเสียมากกว่า
    โดยเฉพาะกรณีนาฬิกาหรูของ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ที่ไม่ได้สร้างผลกระทบต่อตัวพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์เพียงคนเดียว แต่มันสะเทือนไปถึงรัฐบาลในเรื่องของภาพลักษณ์
    บิ๊กตู่ ประกาศมาตลอดว่าต้องการขจัดคอร์รัปชัน แต่กรณีของ บิ๊กป้อม กลับออกมาปกป้องและบอกให้ยอมๆ กันไป 
    มาตรฐานเรื่องการป้องกันและปราบปรามทุจริตที่สูงของ น้องตู่ จากการดำเนินการต่างๆ ในอดีต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้มาตรา 44 ออกคำสั่งหัวหน้า คสช.เพื่อพักงานข้าราชการที่พัวพันการทุจริต หรือการขึงขังในคดีนักการเมือง ทว่ากับเรื่องของ พี่ป้อม กลับเป็นอีกมาตรฐานหนึ่ง
    ลุงตู่ กำลังเผชิญกับคำถามเรื่องนี้อย่างหนัก!
    อีกเสียงเร่งเร้า นั่นคือการตัดเนื้อร้ายเพื่อรักษาชีวิตของทั้งรัฐบาลไว้ ด้วยการหั่น ลุงป้อม ออกเพื่อสยบกระแสทั้งหมดให้หยุดนิ่ง ไม่เช่นนั้นเรื่องนี้จะไม่มีทางยุติหรือซาลงง่ายๆ เพราะถึงแม้พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์จะยอมคายว่านาฬิกาเป็นของเพื่อน นอกจากไม่ได้ทำให้เรื่องเบาลง กลับยิ่งบานปลายมากขึ้น
    สื่อต่างประเทศทั้งจากสหรัฐอเมริกา อังกฤษ เกาหลีใต้ สิงคโปร์ต่างให้ความสนใจเกาะติดเรื่องนี้  แม้เบื้องหลังของข่าวอาจมี ใครบางคน เขียนหรือชี้โพรงให้ แต่ถือเป็นการสร้างแรงกดดันให้เพิ่มขึ้นกว่าเก่า
    บิ๊กตู่ เองนาทีนี้คงกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเหมือนกัน ไม่ใช่ไม่รับรู้ถึงผลกระทบ หากแต่การดำเนินการต่างๆ ล้วนแต่มีผลตามมาทั้งสิ้น
    ถ้าตัดสินใจเลือกจะยื้อพี่ชายสุดที่เลิฟเอาไว้ เพราะมีความสำคัญต่อการอยู่บนคานอำนาจ นอกจากตัว บิ๊กป้อม ที่ต้องเผชิญความอึดอัดแล้ว ยังส่งผลต่อภาพรวมของรัฐบาลในการดำเนินการเรื่องต่างๆ  ต่อไปในอนาคต
    แต่ถ้าเลือกให้ บิ๊กป้อม ไขก๊อก แม้จะเหมือนทำเพื่อส่วนรวม แต่ในความรู้สึกของคนนี่คือการยอมรับแล้วว่า ผิด ซึ่งที่ผ่านมา บิ๊กตู่ ไม่เคยเลือกใช้วิธีนี้ ตั้งแต่กรณี บิ๊กโด่ง พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร อดีต รมช.กลาโหมที่โดนมรสุมเรื่องโครงการอุทยานราชภักดิ์ ฝืนอุ้มจนเรื่องเงียบค่อยปรับออก
    ทว่าเรื่องของ บิ๊กป้อม ดูชัดเจนกว่าตรงที่มีรูปภาพนาฬิกาเกิน 2 โหล ที่ไม่ปรากฏอยู่ในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินแม้แต่เรือนเดียว ซึ่งถือเป็นเรื่องร้ายแรงของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองส่อว่ามีเจตนาปกปิด
    ถ้าฝืนอาจ ทรุด ต่อเนื่อง!
    นอกจากเรื่องนาฬิกาที่สั่นคลอนภาพลักษณ์รัฐบาลแล้ว ประเด็นการยืดระยะเวลาการเลือกตั้งออกไปอีก 90 วันตามร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มา ส.ส. ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เห็นชอบแก้ไขจากเดิมเมื่อประกาศราชกิจจานุเบกษาให้กฎหมายมีผลบังคับใช้เลย มาเป็นให้มีผลบังคับใช้หลังจากนั้นอีก 90 วัน ตรงนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่
    เพราะ "บิ๊กตู่" ประกาศที่สหรัฐฯ เองว่าจะมีการเลือกตั้งในปี 2561 และมาพูดอีกครั้งว่าจะมีในเดือนพฤศจิกายน การช้าไป 1-2 เดือน หากอยู่ในปีเดียวกันยังพอเข้าใจได้ แต่ตามกรอบระยะเวลาใหม่แล้ว อย่างไรต้องอยู่ในต้นปี 2562 ตรงนี้อาจทำให้คน เบื่อ 
    คนในสังคมเข้าใจหมดแล้วว่าปีนี้จะมีการเลือกตั้ง ถ้าต้องยืดออกไปอาจทำให้เกิดความรู้สึกไม่พอใจ เพราะตอนนี้ปัญหาปากท้องคือเรื่องใหญ่ของคนในประเทศ ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลง โดยหวังเอาจากการเลือกตั้ง
    ที่สำคัญ บิ๊กตู่ ช่วงนี้เรตติงไม่ดีเลย ทั้งจากกรุงเทพโพลที่ระบุว่าไม่อยากได้นายกฯ คนนอก หรือไม่ให้ความสำคัญเรื่อง ไทยนิยม เท่าไหร่นัก
    อีกจุดที่ต้องมีการรายงานให้นายกฯ ทราบโดยด่วนคือ เรตติงรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน และรายการ คสช.ทุก 6 โมงเย็นของทุกวันศุกร์ เรตติงดิ่งเกือบจะแตะ ศูนย์ แล้ว 
    ความนิยมช่วงนี้ของ บิ๊กตู่ ไม่สู้ดีเลย ตั้งแต่เกิดกรณีนาฬิกาหรู ที่พานทำให้เรื่องอื่นเหมือนเข้ามาเป็นการซ้ำเติมไปหมด.
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"