'ป้อม'เมินล่าชื่อไล่ทะลุ7หมื่น


เพิ่มเพื่อน    

     นายกฯ ต้อนรับ ปธ.เสนาธิการร่วมทหารสหรัฐ ยันไทยเดินตามโรดแมปสู่เลือกตั้ง "บิ๊กป้อม" หูทวนลม บอกไร้แรงกดดัน โทษสื่อคิดกันไปเอง ขณะที่ยอดลงชื่อหนุนไขก๊อกทะลุ 7 หมื่น เพื่อแม้วร่อนแถลงการณ์บี้ยุติดำเนินคดี "We Walk-MBK 39" เร่งคืนอำนาจประชาชน
    ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการหารือระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กับ พล.อ.โจเซฟ เอฟ ดอนฟอร์ด ประธานคณะเสนาธิการร่วมกองทัพสหรัฐอเมริกา ที่เข้าเยี่ยมคารวะในโอกาสเยือนไทยในฐานะแขกของกองทัพไทย ซึ่งนับเป็นผู้แทนจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐระดับสูงสุดที่เดินทางมาเยือนไทยในรัฐบาลนี้ ว่าประธานคณะเสนาธิการร่วมฯ ระบุว่าการมาเยือนไทยครั้งนี้ เป็นการสะท้อนว่าไทยยังคงเป็นพันธมิตรที่สำคัญในภูมิภาคของสหรัฐ โดยปีนี้ครบรอบ 185 ปีที่ทั้งสองฝ่ายสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต และครบรอบ 200 ปีที่ประชาชนไทยและสหรัฐติดต่อสัมพันธ์กัน
    โดยนายกฯ และประธานคณะเสนาธิการร่วมฯ หวังว่าทั้งสองฝ่ายจะมองถึงผลประโยชน์ร่วมกัน มองไปข้างหน้า และสานต่อความสัมพันธ์และความร่วมมือในฐานะพันธมิตรที่ดีต่อกันมายาวนาน พร้อมกับเชื่อมั่นว่าความร่วมมือระหว่างกองทัพของทั้งสองประเทศจะเป็นรากฐานที่สำคัญ ที่จะช่วยยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างไทย-สหรัฐให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่า ไทยและสหรัฐได้มีการพัฒนาไปสู่จุดมุ่งหมายเดียวกัน โดยยังให้ความสำคัญกับความสงบสุขและความมั่นคงในภูมิภาค ในส่วนของประเด็นภายในประเทศ พล.อ.ประยุทธ์แจ้งว่า ไทยดำเนินการตามโรดแมปมาโดยตลอด ขณะนี้ฝ่ายนิติบัญญัติอยู่ระหว่างการจัดทำกฎหมายลูกที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง และนายกฯ ยืนยันเจตนาที่จะปฏิรูปไทยไปสู่ประเทศที่มีการปกครองประชาธิปไตยที่เข้มแข็งและยั่งยืน ซึ่งประธานคณะเสนาธิการร่วมฯ ได้แสดงความเข้าใจ
    ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งเดินทางกลับจากการประชุมรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมอาเซียน อย่างไม่เป็นทางการ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์  ระหว่างวันที่ 5-7 ก.พ. กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสกดดันทางสังคมหลายๆ เรื่องในช่วงนี้ว่า "ไม่มีแรงกดดันอะไร พวกคุณคิดกันไปเอง"
    พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวยืนยันอีกครั้งว่า พล.อ.ประวิตรยังทำงานต่อไป โดยไม่ลาออกจากตำแหน่ง
    ขณะที่ยอดรายชื่อของผู้สนับสนุนแคมเปญ “อยากให้รองนายกฯ ประวิตรลาออก ตามที่ท่านได้กล่าวไว้เมื่อวันที่ 31 ม.ค.61 ที่กระทรวงกลาโหม” ของนางทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก ผ่านเว็บไซต์ change.org ล่าสุดในช่วงเย็นวันที่ 7 ก.พ. มีผู้ร่วมลงชื่อสนับสนุนกว่า 7 หมื่นคนแล้ว 
    วันเดียวกัน นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) แสดงความเป็นห่วงการพิจารณากฎหมายลูกของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยเฉพาะร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.)ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. ที่ผ่านการลงมติในวาระ 3 และมีการแก้ไขเยอะ อาจจะขัดรัฐธรรมนูญหลายประเด็นว่า ยังยืนยันว่าแม้ว่าจะแก้ไขเยอะอย่างไร หรือต้องตั้งคณะกรรมาธิการร่วมขึ้นมาพิจารณาจะไม่มีผลอะไร เพราะไม่ว่าจะแก้อย่างไร ต้องอยู่ภายใน 15 วัน แม้จะคิดว่ายังพิจารณาไม่เสร็จ ต้องถือว่าเสร็จ เพราะมีเวลากำหนดไว้ให้แค่นั้น
    “ไม่เป็นไร ผมคิดว่าหลายประเด็นทาง สนช.มีฝ่ายที่เห็นด้วยกับ กรธ.ด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้น คุยกัน และแก้กันไปได้ ปัญหาอย่างนี้คนที่ทำกฎหมายจะรู้ดี เนื่องจากเจอกันมาตลอดทุกฉบับ ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร ความจริงการตั้งคณะกรรมาธิการร่วมขึ้นมาพิจารณาไม่ได้เสียเวลา ถือว่ายังอยู่ในขั้นตอนอยู่” นายวิษณุระบุ
    นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์พูดกับประชาชนว่า หากรักนายกฯ ขอให้รักรัฐบาลทั้งหมดว่า แสดงให้เห็นว่านายกฯ ได้ตัดสินใจแล้ว ซึ่งต้องรับผิดชอบต่อผลที่จะตามมา เพราะหากไม่มีการคลี่คลายสถานการณ์ที่สังคมตั้งคำถามเกี่ยวกับกรณีของ พล.อ.ประวิตร จะเป็นอุปสรรคต่อการทำงาน อย่างไรก็ตาม อยากให้นายกฯ ซึ่งประกาศตัวเป็นผู้นำปฏิรูป ต้องทำตัวให้เป็นแบบอย่างของการปฏิรูปด้วย
    นายอภิสิทธิ์ยังเปรียบเทียบผู้นำในแต่ละยุคว่า มี 3 ยุค เริ่มตั้งแต่ยุค 1.0 คือยุคยึดอำนาจ, ยุค 2.0 เป็นยุคที่มีการประนอมอำนาจ, ยุค 3.0 คือยุคของการเลือกตั้ง แต่ไม่รักษาหลักการประชาธิปไตย ซึ่งในแต่ละยุคมีความล้มเหลวแตกต่างกันไป จึงอยากให้ก้าวพ้น 3 ยุคนี้ไปสู่ยุค 4.0 ให้ได้
    ส่วนกรณีที่จะมีการตั้งกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ดำเนินการได้ตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม ยังมีความไม่แน่นอน จะมีความพยายามใช้เทคนิคใดเพื่อยืดเวลาเลือกตั้งหรือไม่ เพราะหัวหน้า คสช.สามารถใช้อำนาจตามมาตรา 44 ได้ตลอดเวลา แต่ทุกอย่างจะมีความแน่นอนได้ก็ต่อเมื่อหัวหน้า คสช.พูดให้ชัดเจนว่ามีความประสงค์อย่างไร และยืนยันว่าจะทำให้ได้ตามอำนาจพิเศษที่มีอยู่ หากมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากนั้น ต้องมีเหตุผลอธิบายต่อสังคม  จะโยนให้เป็นเรื่องของ สนช.ไม่ได้ 
    ด้านพรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์เรื่อง หยุดละเมิดสิทธิ เสรีภาพ และคุกคามประชาชนที่เห็นต่าง กรณีการตั้งข้อกล่าวหาต่อประชาชนในนามกลุ่ม “We Walk” และนักศึกษาที่ชุมนุมบริเวณสยามเซ็นเตอร์และใกล้เคียง เพื่อเรียกร้องการเลือกตั้งในนามกลุ่ม “MBK 39” โดยมีเนื้อหาว่า 1.ข้อเรียกร้องของประชาชนล้วนมาจากการที่รัฐบาลและ คสช.ไม่สามารถแก้ปัญหาให้สำเร็จตามที่ได้ประกาศไว้ พฤติกรรมและการไม่รักษาคำมั่นสัญญา ก่อให้เกิดวิกฤติความไว้วางใจและความขัดแย้ง เนื่องจากการขยายเวลาบังคับใช้ร่างกฎหมายเลือกตั้งออกไปอีก 90 วัน ทำให้ประชาชนไม่มั่นใจว่าจะมีการเลือกตั้งในปี 2562 หรือไม่ 2.ขอเรียกร้องให้รัฐบาล และ คสช.ยุติการดำเนินคดีกับประชาชนที่ร่วมเดินกับกลุ่ม“We Walk” และนักศึกษา ประชาชนที่ชุมนุมในนามกลุ่ม “MBK 39” เนื่องจากสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและแสดงออกทางการเมืองและชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธนั้น ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ 
    3.ขอเรียกร้องให้รัฐบาลและ คสช.ยกเลิกประกาศและคำสั่งที่เป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน เช่น คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 และยกเลิกการตั้งข้อกล่าวหาในคดีทางการเมืองที่ผ่านมา ยกเลิกข้อห้ามมิให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมทางการเมือง สร้างความชัดเจนให้โรดแมปทางการเมืองโดยการประกาศวันเลือกตั้งให้ชัดเจน ยุติการใช้ภาษีประชาชน เจ้าหน้าที่และกลไกของรัฐเพื่อสนับสนุนการอยู่ในอำนาจ สร้างความปรองดองของคนในชาติให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง ปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันอย่างจริงจังและตรงไปตรงมา และต้องไม่สร้างวาทกรรมว่าถ้ายังขัดแย้งจะยังไม่มีการเลือกตั้ง ซึ่งทางออกของประเทศที่ทำได้ง่ายที่สุดคือ การคืนอำนาจให้แก่ประชาชนโดยเร็ว
    นายพายัพ ปั้นเกตุ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีกระทรวงมหาดไทยจัดงบประมาณแผ่นดินสูงถึง 2,000 ล้านบาท ในลงพื้นที่ทำความเข้าใจกับประชาชนในโครงการไทยนิยมว่า เป็นเรื่องรูทีนซ้ำๆ ซากๆ ที่กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย จังหวัด อำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ทำเป็นประจำอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสามัคคี ปรองดอง อาชีพ หน้าที่พลเมือง เทคโนโลยี ยาเสพติด จะมีที่แปลกใหม่เพียงเรื่องเดียวคือการส่งเสริมการรู้รักประชาธิปไตยแบบไทยนิยม ภาระจะตกที่อำเภอ ต้องให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้านเกณฑ์คนทุกหมู่บ้านมาประชุมให้ได้ โดยเฉพาะผู้มีบัตรคนจน จ่ายค่าวิทยากรและเลี้ยงอาหารกลางวันชาวบ้านหัวละ 50 บาท เป็นการใช้งบประมาณที่ซ้ำซ้อน สิ้นเปลืองเปล่าประโยชน์ ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำเพียงแค่หวังสืบทอดอำนาจรัฐบาลต่อเท่านั้นเอง.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"