ดูคดี "เปรมชัย" ยุคไซด์ไลน์


เพิ่มเพื่อน    

นี่ถ้าเป็น "ตาสี-ตาสา" จบแต่วันแรกแล้ว!

เพราะ "คาหนัง-คาเขา"........

หลักฐานยันชัดขนาดนี้ ต่อให้ปฏิเสธ "เปล่าทำ-เปล่าล่า" ขนาดไหน?

ตำรวจต้องว่า...ไอ้หมอนี่ "ผู้ร้ายปากแข็ง"

แต่กับรายนี้ ผู้ต้องหาระดับแสนล้าน "เปรมชัย กรรณสูต"

เรื่องง่ายๆ จึงจบยาก

แต่เผลอๆ เรื่องยาก อาจถูกทำให้จบง่ายก็ได้!?

ตำรวจยุคนี้ มี ๒ ประเภท

คือประเภทไซด์ไลน์ กับอินไลน์ ไม่เชื่อไปถามอดีต ผบ.ตร.ที่ชื่อ "สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง" ดูก็ได้

ฉะนั้น ในขั้นตอนนี้ เหมือนเหรียญกำลังปั่น หงายหัว-หงายก้อย เป็นได้ทั้งนั้น!

ผมไม่แปลกใจ ที่ PPTV เขาหยั่งความเห็นชาวบ้านว่า เปรมชัย "รอด-ไม่รอด"?

กว่า ๗๐% บอก....รอด!

ในเทปเสียงที่เจ้าหน้าที่แอบบันทึก ฝ่ายเปรมชัยที่พยายามติดสินบน ยังพูดเลย

“เดี๋ยวให้ผู้ใหญ่มาคุย มันมีช่อง กฎหมายก็มีช่อง"

ความจริง กฎหมายไม่มีช่องหรอก

หากแต่คนใช้กฎหมายแบบ "ไซด์ไลน์" ตะหาก สร้างช่องขึ้นเอง!

ดูตาม ๙ ข้อหา ที่เจ้าหน้าที่ทุ่งใหญ่ฯ ตั้งกับนายเปรมชัยและพวก

ข้อหาที่ดิ้นไม่พ้นแน่ คือ "ร่วมกันเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต"

ข้อหานี้ สิวๆ!

ส่วนข้อหาอื่น เช่น ร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า, ร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครอง มีอาวุธปืนและอุปกรณ์ดักสัตว์ โทษถึงคุก

"นายธานี ทุมมาศ" ไม่น่ารอด

เพราะถูกจับขณะเล็งยิงกระรอก ปืนยังคามือ

นายธานี "ลูกน้อง" ยิงกระรอก ส่วนตัว "ลูกพี่" นายเปรมชัย

"ยืนกระต่ายขาเดียว"!

"เปล่ารู้-เปล่าเห็น-เปล่าสั่ง-เปล่ายิง" แค่พักผ่อนก่อนแก่ตาย และเผอิญหลงทางเข้ามาในเขตหวงห้ามเท่านั้น

ส่วนใครล่า-ใครยิง ไม่รู้?

กฎหมายน่ะ ไม่มีช่อง แต่นายเปรมชัย มองว่ามี เรื่องจึงยาว

ตำรวจยุคจักรทิพย์ ก็อยากพิสูจน์ให้เห็น ว่าเป็นตำรวจ "อินไลน์"

จึงขมีขมัน.......

"อุดช่อง" ระดมวิทยายุทธ์ รวบรวมพยาน-หลักฐาน ทุกด้าน กะไม่ให้นายเปรมชัยมีรูรอดได้ ในชั้นอัยการและศาล

พูดกันตรงๆ ตำรวจไทยนั้น "โคตรเก่ง"

ขึ้นอยู่กับว่า จะใช้เก่งนั้น สนองอะไรและใครเท่านั้น!?

อย่างคดีนายเปรมชัย ถ้าเอาจริง ไม่มีทางรอดคุกไปได้เลย

เพราะพิสูจน์ได้.....

นายเปรมชัย คือ "ตัวบงการ" ในทุกข้อหา ทั้ง ๙ ข้อหา

รวมทั้งข้อหา ความผิดต่อ พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน ที่นำเข้าไป

หลักฐานแรก ที่ยืนยันความเป็น "ตัวการ" นำคณะเข้าทุ่งใหญ่ฯ คือ

"น.ส.กาญจนา นิตยะ" ผอ.สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติฯ

เธอยอมรับ "มีผู้ประสานงานผ่านโทรศัพท์ ขอทำเรื่องเข้าพื้นที่"

น.ส.กาญจนานี่แหละ พยานยัน ว่าผู้ขอทำเรื่องเข้าพื้นที่ คือ "นายเปรมชัย"

อุปกรณ์ในการล่า โดยเฉพาะปืน พาหนะที่ใช้คือรถยนต์ เปรมชัยยอมรับเป็นเจ้าของ ถึงไม่รับ ก็พิสูจน์ได้จากทะเบียน

นายยงค์ โดดเครือ, นายธานี ทุมมาศ และนางนที เรียมแสน เป็นเพียง "สมุน-บริวาร" ที่ร่วมเข้าไปเป็นลูกมือเท่านั้น

ถึงอ้างว่าปืนมีทะเบียน.........

แต่ทำไมมีมากเป็นคลังแสง ต้องไปถาม "กรมการปกครอง" ผู้ออกใบอนุญาต?

ก็ไม่น่าแปลกใจ ระดับเปรมชัยนั้น ถ้ากรมการปกครองออกใบอนุญาตซื้อปืนใหญ่ให้ได้ ก็คงกุลี-กุจอ ออกให้ไปนานแล้ว

แต่ถึงอ้างเป็นปืนมีทะเบียน "ก็ผิด" เพราะที่ขนเข้าไปนั้น

ไม่มีใบอนุญาตให้พกพา!

จากองค์ประกอบ ถึงนายเปรมชัยปฏิเสธ ก็ยากพ้นเป็นทั้งตัวบงการล่าและร่วมล่าสัตว์ป่าสงวน ฆ่าเสือดำ เก้ง ไก่ฟ้าหลังเทา

ลำพัง ๓ คนนั้น ระดับลูกมือ-ลูกหาบ

ไม่มีทั้งบารมี ทั้งอุปกรณ์ ทั้งไม่สามารถเข้าไปตั้งแคมป์ในเขตหวงห้ามได้

สิ่งยืนยันความเป็นนักล่าของเปรมชัย คือเขาเชื่อมือความเป็นนักล่าตัวเองถึงขั้น.......

เอาแต่แม่ครัว "นางนที" กับเครื่องครัว-เครื่องปรุง ไปเท่านั้น

ส่วน "เนื้อสัตว์" ที่จะต้มยำทำแกง ไปล่าเอาในป่า!

ยิ่งเกลือ บ่งบอกว่า เปรมชัยไม่ใช่คนไม่เคยล่าสัตว์

หากแต่เป็นนักล่าสัตว์ระดับ "ปิศาจใต้ขุมนรก" มาเกิด

มือฉมัง-มั่นใจในการล่า.......

ถึงขั้นเตรียมเกลือไป "ถนอมเนื้อ-ถนอมหนัง" ของสัตว์ ที่เขาตั้งใจเข้าไปล่า!

การเลือกจุดยิงเสือดำไม่ให้เสียราคาหนัง และการถลกหนัง ถ้าไม่ใช่ "นักล่า-นักถลก" มืออาชีพ ทำไม่ได้

ใน fb เมื่อวาน นักข่าวพื้นที่หรือใครไม่ทราบ ตามตำรวจเข้าไปตรวจพื้นที่ โพสต์ข้อความนี้ไว้ ว่า..........

"แทบจะไม่มีหลักฐานใดๆ บ่งชี้จุดตั้งแคมป์ของเปรมชัย บริเวณห้วยปะชิ ซึ่งอยู่ห่างหน่วยทิคอง ไป 11 กม. ซึ่งอยู่ก่อนถึงหน่วยมหาราช 7 กม.

กระทั่ง วันที่ผมและเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ตำรวจ สภ.ทองผาภูมิ สารวัตรจาก กก.5 บก.ปทส.ขึ้นรถโฟว์วีล ไปพบกับคณะอธิบดีกรมทรัพยากรธรรมชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช "ธัญญา เนติธรรมกุล" หัวหน้าชุดพญาเสือ "ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร"

ซึ่งเดินทางมาโดยเฮลิคอปเตอร์ มารออยู่ที่จุดตั้งแคมป์แล้ว

ณ จุดเกิดเหตุนี้เอง

ผมพบหัวหน้า "วิเชียร ชิณวงษ์" ถือกระดาษเอ 4 ในมือ เมื่อคลี่ออกมา มันคือหลักฐานมัดเปรมชัย ไม่ได้หลงทางในป่าเพราะความมืด

แต่เปรมชัยมีเจตนาตั้งแคมป์หุงหาอาหาร ปรุงเมนูจากสัตว์ป่า ในพื้นที่หวงห้าม

เมนูวันนั้น มีซุปหางเสือดำ อยู่ในหม้อพร้อมเสิร์ฟ และยังพบสะโพกขาหลังเสือดำ เนื้อเก้ง เนื้อไก่ฟ้าหลังเทา มีผักโหระพา กะเพรา แตงกวา และอื่นๆ อีกมาก

กระดาษเอ 4 ใบนั้น ชี้ให้เห็นว่า จุดตั้งแคมป์มีลักษณะใด โดยเต็นท์นอนของเปรมชัย มีกองไฟ 2 กองก่อกันหนาว ถัดลงมาเป็นผ้ากันน้ำค้าง

และจุดปรุงอาหาร ถัดไปเป็นเต็นท์ผู้ติดตาม จุดสุดท้ายคือ จุดจอดรถแลนด์ครุยเซอร์

ภาพนั้น อธิบายชัด จากต้นไม้ 3 ต้น แนวต้นไผ่ ลำไผ่ที่เอนลู่ลงมาทางห้วยปะชิ เมื่อนำภาพถ่ายมายืนยันกับสถานที่ลำห้วยปะชิ สอดรับว่าเป็นสถานที่จริง

ด้านซ้ายมือของแคมป์เป็นตีนเขา เป็นจุดฝังซากเสือดำ ฝังอาวุธปืน เพียงถนนกั้น อยู่ห่างแคมป์เปรมชัยเพียง 5 เมตรเท่านั้น แต่ในคืนตรวจค้น เป็นช่วงที่มืดแล้ว เจ้าหน้าที่ไม่พบหลุมฝังซากและจุดผังกระสุนปืน กระทั่งมาตรวจเช้าวันรุ่งขึ้น จึงพบ

จากสถานที่เกิดเหตุ ยืนยันได้ในเวลานั้นเลยว่า

เปรมชัยเจตนาตั้งแคมป์ตรงจุดนี้ ซึ่งเป็นพื้นราบติดลำห้วยเพียงจุดเดียว เนื่องจากพื้นที่เพิ่งผ่านการปรับสภาพถนน ตลอดเส้นทางศึกษาธรรมชาติ

และจุดนี้ ยังมีธารน้ำไหล เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักนิยมไพรไฮโซ

เพราะฉะนั้น ข้ออ้างว่าหลงป่าจึงฟังไม่ขึ้น อีกทั้งเส้นทางนี้เป็นเส้นทางเดียว ไม่มีให้แยกซ้าย แยกขวา

จุดตั้งแคมป์อยู่สูงขึ้นมา จากจุดที่เจ้าหน้าที่พบปลอกกระสุนขนาด 20 มม. และพบเศษซากเครื่องใน ขน เลือดเสือดำ ประมาณ 400 เมตร

จุดนี้ เป็นไปได้ทั้งจุดยิง หรือจุดชำแหละเสือดำ และยังพบอุจจาระคน กระดาษชำระด้วย

จากจุดต่างๆ ที่ผมไปพบ สอดรับกับเจตนาของเปรมชัย ว่า ต้องการตั้งแคมป์ "นอกจุดที่กำหนด"

และไม่แปลก ที่มีคลิปเสียงต่อรองกับเจ้าหน้าที่ แต่ไปสอดคล้องกับการพยายามอ้างเป็น "แขกของนาย"

แล้ว "นายคนนั้น" คือใคร

อยู่ร่วมขบวนการนี้ด้วยหรือไม่?

นี่เป็นหลักฐานเพียงบางส่วน ที่พอจะตอบคำถามสังคมว่า มีการเตรียมตัว มีเจตนา ที่จะเข้ามาทำอะไรบางอย่าง

แล้วใครล่ะ.....

ที่อนุญาตให้เปรมชัยเข้าไป แล้วใช้เสียงปืน ปลุกให้ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ตื่นจากการหลับใหล"

สอดคล้องกับบันทึกของ "ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร" หัวหน้าชุดพญาเสือ ซึ่งบันทึกหลังเข้าจับกุมคณะนายเปรมชัย และโพสต์ fb ไว้ ดังนี้

"หลังจากสำนวนบันทึกจับกุม นายเปรมชัย กับพวกเสร็จพวกเรา จนท.รีบส่ง เพราะกลัวโดนฟ้องกลับ เพราะทนายขู่ว่ากักตัวเกิน 48 ชม.

พวกเรารวมทั้งผม ก็กลัวเช่นกัน แต่ทำไงได้ กว่าจะออกมา มันใช้เวลานานเหลือเกิน พวก จนท.ทำงานเพื่อปกป้องป่า รักษาชีวิตสัตว์ป่าและรักษาชีวิตของตน ให้อยู่กับครอบครัวให้นานที่สุด

ในขณะเดียวกัน น้องๆ จนท.พิทักษ์ป่า ไปหยิบของกลางมาวาง มาวางทีละชิ้น ทีละชิ้นนั้น

ความกลัว ที่กลัวเขาฟ้องกลับ มันกลายเป็นความโกรธแค้น ทั้งที่พวกเราไม่ควรโกรธ เพราะเป็นหน้าที่ แต่ขอให้ทุกคนที่อ่านเข้าใจด้วยว่า

พวกเรา จนท.ผู้พิทักษ์ป่าทุกนาย ดูแล ปกป้อง คุ้มครอง ป่า ต้นไม้ โดยเฉพาะสัตว์ป่า มาด้วยชีวิต กว่ามันจะโตได้ รอดได้ วิ่งได้ มันผ่านอุปสรรคมากมาย พวกเราเดินทนร้อนทนหนาว ทนเปียก เพื่อดูแลพวกเขา

แต่กลับถูกหยิบออกจากถุงดำ ออกมาเป็นชิ้นๆ นั้น...เสือดำ ซึ่งร่างถูกแบ่งเป็นท่อนๆ ไก่ฟ้าหลังเทา ถูกกินเหลือครึ่งเดียว เนื้อเก้ง

แล้วนี่อะไรอีก...........

มันเป็นหางเสือดำ ต้มยำเป็นซุป เนื้อขาหลังของเสือดำ ถูกเอาไปกิน มันอะไรกัน คุณเปรมชัย!

ขณะนั้น ผมกำลังถ่ายภาพ ที่ จนท.นำซากสัตว์แต่ละอย่างออกมา ผมหันไปเห็นนักเรียน เด็กๆ ตัวเล็กๆ ยืนชี้! พูดคุยกันเสียงงึมงำ!

จับใจความไม่ได้ว่า เด็กๆ พวกนั้น คิดอะไร และไม่ได้ยินว่าพูดอะไรด้วย

แต่ที่มันสะท้านความรู้สึกของผมคือ

“คุณเปรมชัย ทำอะไร

คุณทำอะไรลงไป คุณได้ทำตัวอย่างที่เด็กๆ ควรเอาตัวอย่างหรือไม่นั้น ผมไม่อาจรู้ได้ เพราะผมไม่ได้ยินเสียงเด็กๆ คุยกัน

แต่ที่ผมรู้สึก คือ ผมรู้สึก แย่มากครับ"

อืมมมมม....

"ซุปหางเสือดำ" ใครบอกว่าแก้ "โรคเบาหวาน" ได้ ถึงตะกายนรกกินขนาดนั้น หือ?

ผมดูว่า คดีนี้ ตำรวจยังขึ้นต้นเป็น "ลำไม้ไผ่" อยู่

ทุ่งใหญ่ฯ นั้น ถ้าไม่มี "คนในนำ-คนใหญ่สั่ง" ใครก็ยากดุ่มเข้าไปได้

ฉะนั้น "จับตา" กันต่อไป...........

เผลอเมื่อไหร่ มีสิทธิ์เป็น "บ้องกัญชา" เมื่อนั้น!


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"