'พญาเสือ' เผยภาพเสือดำที่ถูกล่าเป็นตัวเดียวกับที่ดักถ่ายภาพไว้ได้ในงานวิจัยเมื่อปี2559


เพิ่มเพื่อน    

หลังจากเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา หน่วยปฏิบัติการพิเศษพญาเสือ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช นำโดยนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าหน่วยพญาเสือลงพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก เพื่อค้นหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมในคดีนายเปรมชัย กรรณสูต ผู้บริหารอิตาเลียนไทยและพวกยิงเสือดำ โดยพบกระดูกขาขวาหลัง 2 ท่อนของเสือดำในลำห้วยและริมตลิ่ง คาดว่ากลุ่มผู้กระทำผิดมีการแล่ชิ้นเนื้อเพื่อไปปรุงอาหาร เหลือแต่กระดูกจึงโยนทิ้งเพื่อปกปิดหลักฐาน

ล่าสุดเมื่อช่วงเช้าวันที่ 15 ก.พ. ได้มีการเผยแพร่ภาพถ่ายเสือดำผ่านทางเฟซบุ๊คของทีมพญาเสือ เพื่อยืนยันหลักฐานว่า เสือดำที่ถูกยิงตายนั้นเป็นตัวเดียวกับเสือดำเพศผู้ที่มีการดักถ่ายภาพไว้ได้ในการศึกษาวิจัยของสถานีวิจัยสัตว์ป่าเขานางรำเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2559

“หน่วยพญาเสือ และเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า (ขสป.) ทุ่งใหญ่ พร้อมทั้งได้รับการสนับสนุนจากสำนักการบิน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสนับสนุนเฮลิคอปเตอร์บินตรวจสภาพป่าและส่งหน่วยฯปฏิบัติการพิเศษ กรณีค้นหาพยานหลักฐานในคดียิงเสือดำในพื้นที่ ขสป.ทุ่งใหญ่ จนท.ได้ดำเนินการ 3 เรื่องเป้าหมายด้วยกันคือ

1.พิสูจน์จุดตั้งกล้องดักถ่ายของสถานีวิจัยสัตป่าเขานางรำ ซึ่งมีข้อมูลว่า เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2559 ได้ถ่ายเสือดำเพศผู้ไว้ นั้นห่างจากจุดที่มีการชำแหละซากเพียง 100 เมตร และพิจารณาว่า จะใช่ตัวเดียวกันหรือไม่ และอยู่จุดไหน 2.ค้นหาแนววิถีกระสุนปืนลูกซองที่ใช้ยิงเสือดำ และค้นหาร่องรอยที่เป็นแนวและเชื่อมโยงไปหาจุดยิงได้ ?

3.ค้นหากระดูกสะโพกขวาขาหลัง ซึ่งเบื้องต้นสันนิษฐานว่า ผู้ที่ถูกกล่าวหาอาจจะกินหมดไปแล้วขว้างทิ้ง ขณะที่ จนท.ตรวจค้นว่าอยู่จุดใด หรืออาจจะโยนลงน้ำ หรือขว้างไปอีกฝั่งห้วย จึงได้จัดหาสน็อกเกิ้ลหน้ากากดำน้ำเพื่อเป็นหลักฐานประกอบและเป็นวัตถุพยานสำคัญชิ้นหนึ่ง?

จนท.ทุกนายเดินทางถึงพื้นที่ แยกย้ายกันหา แบ่งงานกันเพื่อแข่งกับเวลา จนสามารถตรวจค้นได้ตามเป้าหมายดังนี้

จุดที่ 1 พบจุดที่สถานีวิจัยสัตว์ป่าเขานางรำ ได้ติดตั้งกล้องดักถ่ายสัตว์ป่าไว้ตรงกับพิกัดที่แจ้งไว้ และที่สำคัญ จุดนั้นได้เปรียบเทียบลักษณะสิ่งแวดล้อมทั่วได้ในองค์ประกอบด้วย เช่น ต้นไม้ที่ติดตั้ง ต้นไม้ที่อยู่ข้างเคียงจนครบองค์ประกอบทั้งสองมุมกล้อง จึงได้บันทึกและตรวจสอบว่ามีจุดห่างจากจุดชำแหละเสือดำจริงเพียงแค่ 100 เมตร และสามารถยืนยันข้อเปรียบเทียบสันนิษฐานเบื้องต้นได้ก่อนว่า

เสือดำตัวที่กล้องดักถ่ายได้นั้น อาจเป็นตัวเดียวกันจากข้อมูลงานวิจัย สามารถยืนยันได้ว่า เสือดำตัวผู้จะมีพื้นที่หากินประมาณ 40 ตารางกิโลเมตร +- 7 ตร.กม. จะดูแลตัวเมีย 2-3 ตัว และจะมีอาณาเขตปกครอง สัตว์ป่าหรือเสือดำตัวอื่นไม่สามารถเข้ามาได้
และที่กล้องดักถ่ายภาพได้นั้นเป็นตัวผู้ ซึ่งอาจเป็นตัวเดียวกันกับตัวที่ถูกยิงแล้วชำแหละ ในจุดที่ห่างเพียง 100 เมตร ซึ่งทางกองพิสูจน์หลักฐานกำลังตรวจหา และจะรู้ว่าเป็นเพศใด เบื้องต้นทีมงานหน่วยพญาเสือ ดูจากหนังที่ชำแหละ แล้วว่ามีโอกาสเป็นเสือตัวผู้ 90% ถ้าพิสูจน์ดีเอ็นเอแล้วว่าเป็นตัวผู้ ก็ชี้ได้เลยว่าเป็นตัวเดียวกัน

และที่เป็นข้อสังเกตว่าพรานที่มาล่าและตั้งใจนำปืน 3 กระบอก มีด 6 เล่ม แต่ละเล่มใช้แตกต่างกัน กรณีนี้ พราน 4 คน ซึ่งมีหนึ่งในนั้นต้องรู้และเคยเข้ามาและเห็นเสือดำตัวนี้ชอบเดินอยู่บริเวณนั้น จึงมีเจตนาเข้ามาล่า และตั้งแค้มป์บริเวณนั้น ถือว่าจงใจ

จุดที่ 2 จนท.ชุดที่สองค้นหาแนวกระสุน  พบ ร่องรอยการฉีกขาดของเปลือกไม้ 2 จุด ที่หิน 1 จุด รวม 3 จุดตรงตามแนวจุดสลัดปลอกกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 ที่ตกอยู่บนถนนตามที่เก็บเป็นหลักฐานไว้แล้ว ขณะเดียวกันจุดที่เสือดำถูกยิง พบขนขาดจากแรงกระแทกของกระสุน ขนหลุดเป็นกระจุก ห่างจากจุดที่เชื่อว่าเสือนั่งอยู่เพียงเมตรเดียว และจุดที่ยืนยิงห่างประมาณ 14 เมตร ส่วนกระสุนที่กระจายบานออก ไปกระทบกิ่งของเถาสะแกวัลย์ 1 เม็ด ซึ่งอีกเม็ดหนึ่งไปกระทบหินเป็นมุมเดียวกัน

ส่วนกระสุนปืน อีกเม็ดหนึ่งมีมุมเฉียงองศาออกไป เหมือนคนที่ยิงวิ่งเฉียงออกไปทางด้านซ้าย ไม่มากประมาณเดินออกไปทางซ้าย 6-7 ก้าว แล้ววิ่งไปยิงซ้ำ กระสุนเม็ดนี้ไปกระทบต้นไม้ที่ยืนต้นตาย เปลือกแข็ง มีรอยฉีกชัดเจน ส่วนเม็ดตะกั่วนั้นหาไม่เจอ ต้องให้หน่วยกองพิสูจน์หลักฐาน ตรวจสอบแนวกระสุนอีกครั้ง

ข้อสังเกต จุดนี้แสดงว่าเสือดำตัวนี้ต้องเชื่องมากและคุ้นกับคนจนไม่หลบหนี หรือเชื่อว่าคนไม่ทำร้ายมัน ในข้อสันนิษฐานเบื้องต้น เชื่อว่า เสือดำถูกยิงไม่น้อยกว่า 2 ครั้งและรูกระสุนที่สามารถเอาปลายหลอดแยงเข้าไปได้แสดงว่า น่าจะเป็นกระสุนคนละชนิด และอาจเป็นคนละคนที่เข้าไปยิงซ้ำ แต่เบื้องต้น พนักงานสอบสวนนำชิ้นเนื้อไปสแกนหาหัวกระสุนว่าจะอยู่หรือไม่ หรืออาจจะทะลุลำตัวไป

คณะเจ้าหน้าที่ยังค้นหาเลือดที่จุดเสือเสียชีวิตอีกด้วย และสันนิษฐานจุดที่ชำแหละ ชุดที่เข้ามาล่าเมื่อยิงแล้วมายิงซ้ำ และนำภาชนะ เช่น ผ้าใบ ผ้ายาง หรือผ้าขนาดที่ใส่หอหุ้มตัวเสือได้ นำมารองและช่วยกันยก ไม่น้อยกว่า 2 คน ซึ่งเสือตัวนี้ วันที่ 4 จนท.ขสป.ทุ่งใหญ่ค้นเจอเครื่องในเสือดำ (ทราบภายหลัง) ตรงจุดใกล้ๆนี้ เครื่องในเสือดำ มีน้ำหนักถึง 17 กิโลกรัม ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับน้ำหนักตัวประมาณ 1 ใน 3 ฉะนั้นเสือดำตัวนี้จะมีน้ำหนักประมาณ 45-50 กก. จึงต้องใช้สองคนยกมาชำแหละ เมื่อชำแหละแล้วนำเกลือป่น มาคลุกเพื่อรักษาหนังรักษา อายุของหนังให้คงทนขึ้นอีก ใช้เกลือจำนวน 2 ถุง แล้วนำเนื้อเสือดำทั้งหมดกลับไปที่พัก ส่วนเครื่องในทิ้งไว้ข้างจุดชำแหละ

ขั้นตอนต่อไป คณะ จนท.จะทำแผนที่ และภาพประกอบพร้อมทั้งภาพเคลื่อนที่ ทำบันทึกส่งพนักงานสอบสวน เพื่อให้กองพิสูจน์หลักฐาน เข้ามาตรวจแนววิถีกระสุน และค้นหาเม็ดกระสุนอีกครั้ง

จุดที่ 3 การค้นหาวัตถุพยานอื่นๆข้างเต็นท์พัก และข้อสันนิษฐานที่ว่า ขาขวาหลังซึ่งเป็นส่วนที่เป็นเนื้อสะโพกนั้นหายไปหนึ่งขาน่าจะถูกกินไปแล้วนั้น กระดูกจะต้องทิ้งไว้หรือขว้างลงน้ำ จึงได้ให้ จนท.งมหา วัตถุพยานทุกชนิดในน้ำ

ขณะ ที่ จนท. 3 นายดำน้ำค้นหาประมาณ 20 นาที ก็พบชิ้นส่วนเป็นลำไส้ใหญ่ ชิ้นนี้ยังไม่สามารถชี้ชัดว่าเป็นชิ้นส่วนของสัตว์ชนิดใด ส่วนนี้จึงต้องส่งไปพิสูจน์ต่อไป ในขณะเดียวกัน จนท.อีกนายพบกระดูกชิ้นสะโพกติดกับเชิงกราน เบื้องต้นเชื่อว่าเป็นกระดูกของเสือดำ ตัวดังกล่าว และใกล้กัน จนท.อีกคนพบ กระดูกอีกชิ้นเป็นกระดูกขาที่ต่อกันได้ เป็นขาขวาสะโพกหลังพอดี และได้นำขึ้นมาจากน้ำมาประกอบอีกครั้ง จึงมั่นใจว่า หลักฐานที่ได้มาทั้งสองวันนี้ เป็นหลักฐานสำคัญใช้ประกอบในหลักวิทยาศาสตร์ ได้เป็นอย่างดี

คณะเจ้าหน้าที่ได้ทำบันทึกเป็นหนังสือ นำส่งมอบวัตถุประพยานที่สำคัญให้กับพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรทองผาภูมิ เพื่อนำส่งเพื่อตรวจหาหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์และเป็นพยานในหลักฐานคดีต่อไป”


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"