เที่ยว "เวียนนา" เวลาป่วย


เพิ่มเพื่อน    

น้ำพุ “เนปจูน” ภายในพื้นที่ของพระราชวังเชินบรุนน์ และศาลา “กลอริเอตเตอ” บนเนินเขา

ด้วยทราบดีว่าความป่วยไข้ระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวเป็นสิ่งไม่พึงประสงค์อย่างยิ่ง ผมจึงระวังตัวอย่างดีด้วยการพกวิตามินซีชนิดเม็ดขนาด 1,000 มิลลิกรัมไว้กินอย่างน้อยวันละเม็ด และพยายามนอนให้มากเข้าไว้ แต่บางครั้งก็ไม่วายพลาดพลั้งรับเชื้อโรคเข้าร่างกายจนได้

อย่างเมื่อครั้งที่อยู่นครโกลกาตาก็คิดว่าระวังตัวอย่างดีแล้วด้วยการกินข้าวในร้านอาหารทุกมื้อเพราะกลัวความป่วยไข้ที่ขึ้นชื่อของประเทศอินเดียนั่นคืออาการท้องเสีย แต่ก็ลืมตัวใช้น้ำก๊อกในโรงแรมล้างผลฝรั่งที่ซื้อมากินเสริมวิตามินซี ปรากฏว่าน้ำที่ติดเปลือกฝรั่งนั่นเองที่เป็นเหตุให้ท้องเสียอย่างหนักอยู่ 3 วัน แถมไข้ขึ้นสูงและตาบวมมิดไปหนึ่งข้าง อีกข้างเหลือไว้ให้มองเห็นรางๆ

ครั้งนี้คงเป็นเพราะเชื้อไวรัสในรถบัสที่ขึ้นจากกรุงปรากมายังที่นี่เมื่อวันก่อน ความจริงแล้วหากร่างกายแข็งแรงดีมีภูมิต้านทานสูงก็คงไม่เป็นไร แต่เล่นดื่มเบียร์ดีราคาถูกของสาธารณรัฐเช็กเสียเต็มคราบทุกวัน ก็คงเป็นเหตุให้เชื้อโรคเจาะจุดอ่อนเข้าจนได้ นึกแล้วก็ได้แต่สมน้ำหน้าตัวเอง

เช้านี้อาการไข้ยังอยู่และพ่วงท้องเสียเข้ามาอีกโดยไม่ทราบสาเหตุจนต้องวิ่งเข้าห้องน้ำอยู่หลายครั้งอย่างเกรงใจเพื่อนร่วมห้องพักเพราะห้องน้ำอยู่ในห้องนอนรวมนี่เอง

เพื่อนร่วมห้องของผมมีสาวเอเชียที่คาดว่าน่าจะเป็นคนจีนมากับแฟนฝรั่งนอนอยู่เตียงบน-ล่างคู่กัน เตียงอีกคู่คือคู่รักหนุ่มสาวจากประเทศบราซิล ส่วนคนที่นอนเตียงบนเหนือผมเป็นฝรั่งหนุ่มที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนเพราะเข้ามานอนหลังเพื่อน

เขาตื่นเป็นคนสุดท้ายตอนที่ผมทำธุระอันยาวนานในห้องน้ำ เมื่อออกมาก็เห็นเขาเดินกระวนกระวายอยู่เพราะได้เวลาเช็กเอาต์แล้วแต่ยังไม่ได้อาบน้ำ

ผมกล่าวขอโทษที่ทำให้รอนาน เขาไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียวและไม่ยอมมองหน้าด้วยซ้ำ ตัวผมนั้นตื่นไปกินมื้อเช้าก่อนกินยา และเก็บกระเป๋าเสร็จไปตั้งนานแล้ว เหลือแค่ลงไปเช็กเอาต์ในเวลาปริ่มๆ ตามที่โฮสเทลกำหนดคือ 11.00 น.

เนื่องจากว่าที่พักแห่งใหม่พร้อมให้เข้าพักตอนบ่าย 2 โมง ผมจึงฝากกระเป๋าไว้กับ Wombat City Hostel แห่งนี้ก่อนแล้วออกไปเดินดูข้าวของในตลาดนัด Natchmarkt ด้านหน้าโฮสเทล วันนี้มีการเปิดขายของเก่าราคามิตรภาพเต็มไปหมด ทั้งเครื่องถ้วยชาม เครื่องมือที่เป็นโลหะ โคมไฟ กล้องถ่ายรูป ซีดี แผ่นเสียง โปสเตอร์ภาพยนตร์ ฯลฯ แต่รู้สึกอ่อนเพลียและแดดร้อนมากจึงไม่ได้ซื้ออะไร และตัดสินใจลงรถไฟใต้ดินไป 5 สถานีก็ถึงสถานี Schoenbrunn

 

ยานพาหนะภายในพื้นที่ของพระราชวังเชินบรุนน์

พระราชวังเชินบรุนน์เป็นพระราชวังฤดูร้อนของราชวงศ์ฮับบวร์กแห่งออสเตรีย เดิมทีเป็นที่ราบน้ำท่วมถึงของแม่น้ำวีน (Wien) “จักรพรรดิแม็กซิมิเลียนที่ 2” แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ซื้อมาจากเจ้าของเดิมเมื่อ ค.ศ. 1569 ปรับปรุงให้เป็นสวน เอาสัตว์หลากหลายชนิดมาปล่อย แล้วก็ล่าเพื่อความสำราญ

สภาพของพระราชวังที่เห็นในปัจจุบันได้ถูกสร้างขึ้นระหว่างคริสต์ทศวรรษที่ 1740 – 1750 ในสมัย “จักรพรรดินีมาเรีย เทเรซา” มีจำนวน 1,441 ห้องในสไตล์บาโร้ก ส่วนสถาปัตยกรรมภายนอกนั้นได้ปรับปรุงใหม่เป็นสไตล์นีโอคลาสสิคในสมัย “จักรพรรดิฟรานซ์ที่ 2” จักรพรรดิองค์สุดท้ายของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์

พระราชวังเชินบรุนน์มีอาณาเขตกว้างใหญ่ถึง 186 เฮคตาร์ หรือเกือบ 2,000 ไร่ นอกจากส่วนที่เป็นอาคารพระราชวังซึ่งปัจจุบันได้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์แล้วก็ยังมีลานอันกว้างใหญ่ทั้งด้านหน้าและด้านหลังอาคาร มีสวนต้นไม้และดอกไม้แยกย่อยจำนวนมาก สระน้ำ น้ำพุ รูปปั้นเหล่าองค์เทพ ซุ้มศาลาต่างๆ เป็นต้น ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อ ค.ศ. 1996

อากาศที่ค่อนข้างร้อนด้วยแสงแดดจ้าทำให้ผมอาการแย่ลงไปอีกนิด เดินดูนั่นดูนี่อยู่ได้ไม่นานนักก็เดินไปนั่งรถไฟใต้ดินกลับสถานี Kettenbruckengasse รับกระเป๋าที่ฝากไว้กับโฮสเทลแล้วเดินทางต่อไปยังที่พักแห่งใหม่โดยต้องเปลี่ยนสายรถไฟใต้ดินที่สถานี Langenfeldg แล้วนั่งต่อไปอีก 2 สถานี ถึงสถานี Westbahnhof ขึ้นบันไดเลื่อนมาก็เห็นสถานีรถไฟเวียนนาตะวันตก หรือ Westbahnhof ตั้งเด่นอยู่

ระหว่างที่มองหาร้านแม็คโดนัลด์เพราะเป็นแลนด์มาร์คที่อยู่ตรงข้ามโรงแรมที่จองไว้เกิดเสียการทรงตัวล้มลงข้างทางรถรางอย่างน่าสมเพช ผู้คนหันมาเป็นสายตาเดียวกัน ผมรีบลุกแล้วไม่มองไปที่ใครทั้งนั้น เมื่อเจอร้านแม็คโดนัลด์หันไปอีกฝั่งถนนก็เห็น Fuerstenhof Hotel

สำรวจร่างกายก็พบว่าปวดฝ่ามือเพราะใช้ค้ำตอนล้ม เจ็บเข่าเล็กน้อย โทรศัพท์มือถือที่เปิดแผนที่กูเกิลอยู่ตกลงพื้นแต่ไม่เป็นไรเพราะมีเคสซิลิโคนกันกระแทกและฟิล์มติดหน้าจอกันแตก ส่วนกล้องถ่ายรูปที่ห้อยคอไม่ฟาดกับพื้นอย่างน่าอัศจรรย์

ข้าวของไม่เสียหาย แต่อับอายเหลือเกิน

ห้องพักที่จองไว้ราคา 40 ยูโร อยู่ชั้น 1 เป็นแบบห้องเดี่ยวที่ไม่มีห้องน้ำ มีแต่อ่างล้างหน้า ระเบียงไว้ชมสวนด้านหลังโรงแรม และทีวีเก่าๆ เครื่องหนึ่งซึ่งถือว่าเพียงพอแล้ว ห้องน้ำอยู่ด้านนอกสำหรับใช้ร่วมกับห้องอื่นอีกประมาณ 6 ห้อง ส่วนห้องอาบน้ำอยู่ชั้น 2

เมื่อเช็กอินแล้วก็ออกไปหาซื้อยาบนถนน Mariahilfer ที่อยู่ใกล้ๆ เภสัชกรไม่ยอมขายยาแก้แพ้ให้ โดยบอกเหตุผลว่าสำหรับผู้ป่วยที่เป็น Allergy หรือภูมิแพ้เท่านั้น พวกที่เป็นหวัดจะไม่ให้กิน ผมจึงได้มาแค่ยาพาราเซตตามอลเหมือนเดิม รำพึงกับตัวเองว่าแล้วจะหายจากอาการจามและน้ำมูกไหลได้อย่างไร

 

ด้านหน้าของสวนสนุกปราเตอร์

ขากลับผมเห็นร้านเคเอฟซีอยู่ฝั่งตรงข้ามจึงเข้าไปพิสูจน์รสชาติตามธรรมเนียม (ส่วนตัว) อาหารชุดที่เลือกมีไก่ทอด 2 ชิ้น วิงแซบ 3 ชิ้น ข้าวโพดต้มครึ่งฝัก น้ำเปล่า 1 ขวด แล้วพนักงานก็ถามว่าจะรับมันฝรั่งทอดหรือข้าวสวยดี ผมถึงกับตะลึงว่าอยู่ประเทศไหนกันแน่ มื้อนี้จึงได้กินข้าวกับไก่ทอดกรุงเวียนนาที่รู้สึกว่าอร่อยกว่าหลายมื้อที่ผ่านๆ มา คุ้มค่าเงินประมาณ 300 บาท

หลังจากกินยาแล้วงีบไปได้สักพัก ตื่นขึ้นมารู้สึกว่าอาการดีขึ้นหน่อยก็ออกไปนั่งรถไฟใต้ดินไปยังสถานี Praterstern ในเขต Leopoldstadt โผล่ขึ้นมาก็พบกับสวนสนุกขนาดใหญ่ที่ชื่อปราเตอร์ (Prater) อันโด่งดัง เดินเข้าไปบริเวณด้านหน้าแล้วเดินออกมา ก่อนมุ่งหน้าแม่น้ำดานูบซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 1.5 กิโลเมตร

แม่น้ำดานูบส่วนนี้บรรยากาศดูเงียบเหงา ร้านรวงไม่ค่อยมี เรือวิ่งอยู่ไม่กี่ลำ กิจกรรมริมน้ำก็น้อย แม่น้ำดานูบช่วงที่ไหลผ่านกรุงเวียนนาได้แยกออกเป็น 4 สาย เกิดเป็นเกาะดานูบ และมีสายหนึ่งที่เรียกว่าคลองดานูบซึ่งไหลผ่านเขตเมืองเก่า และแม่น้ำวีนก็ไหลมาสมทบกับคลองดานูบนี้ก่อนจะไหลออกไปรวมกับดานูบสายหลักอีกที

ผมเดินเลียบแม่น้ำไปทางซ้ายจนถึงสะพาน Reichsbrucke เดินขึ้นสะพานแต่ไม่ได้ข้ามฝั่งแม่น้ำ มีเลนสำหรับรถยนต์ เลนจักรยาน และเลนคนเดิน โบสถ์คาธอลิค St. Francis of Assisi Church ตั้งงามเด่นอยู่ริมถนน Handelskai ด้านล่าง ในย่านที่มีชื่อว่า Mexikoplatz

เมื่อลงสะพานไปได้ไม่ไกลก็เจอสถานีรถไฟใต้ดิน Vorgartenstrasse ถึงตอนนี้ค่อนข้างก้ำกึ่งว่าตั๋ว 48 ชั่วโมงได้หมดเวลาใช้ไปหรือยัง แต่ก็เสี่ยงใช้เพราะไม่มีเจ้าหน้าที่หรือเครื่องตรวจใดๆ ซึ่งเป็นความคิดที่เขลามากเพราะหากพลาดพลั้งขึ้นมาอาจถูกปรับเงินบานเบอะ ผมนั่งไปที่สถานี Stephansplatz ในเขตเมืองเก่า เดินขึ้นมาก็เจอสองวัยรุ่นสาวยืนเล่นไวโอลินอยู่อย่างไพเราะ มีผู้ชมรุมล้อมอยู่ในลักษณะรูปครึ่งวงกลม หลายคนวางเงินลงในหีบใส่เครื่องดนตรีของพวกเธอ ถัดไปไม่ไกลนักชายวัยกลางคนยืนเป่าฟลุต มีความไพเราะเหมือนกันแต่ผู้ชมน้อยกว่าของสองสาวมาก

แม่น้ำดานูบบริเวณสะพาน Reichsbrucke ที่เชื่อมเขต Leopoldstadt กับเขต Donaustadt ฝั่งตรงข้าม

สังเกตได้ว่านักดนตรีถ้าไม่เก่งจริงคงไม่กล้ามาเล่นในเมืองดนตรีแห่งนี้ นอกจากนักดนตรีที่โชว์ความสามารถอยู่แทบทุกมุมถนนแล้ว สิ่งที่น่าดูอีกอย่างก็คือรถม้าโบราณที่ให้บริการนักท่องเที่ยว เสียงกีบเท้าม้าเมื่อสัมผัสกับพื้นถนนดังกับๆ ให้ความรู้สึกขรึมขลังไม่น้อย

มื้อค่ำวันนี้ตั้งใจจะกินในร้านอาหารแต่เมื่อลงรถไฟใต้ดินกลับไปยังที่พัก ร้านอาหารใกล้ๆ กลับโต๊ะเต็มทุกร้าน จึงเดินไปซื้อเส้นหมีผัดผักที่หน้าสถานีรถไฟใต้ดินตรงข้าม West HBF ของคนผัดหน้าตี๋ 2 คนมากินในราคา 2.90 ยูโร ถือว่าอร่อยใช้ได้จนวันต่อมาต้องไปซื้อมากินอีกรอบ โดยลองเปลี่ยนเป็นบะหมี่ผัดปลาแซลมอนในราคา 4.50 ยูโร

รุ่งขึ้นอาการไข้ดีขึ้นมากแต่ฝนดันตกลงมาทั้งวันจนหมดโอกาสออกไปเที่ยว และคิดว่าได้เวลาแล้วที่จะต้องจากกรุงเวียนนาไปยังนครแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี ตั๋วรถไฟราคาค่อนข้างแพงจึงค้นหาตั๋วรถบัสในอินเตอร์เน็ต ได้ของบริษัท Hellobus ในราคาแค่พันกว่าบาท แต่ต้องให้เพื่อนที่กรุงเทพฯ ซื้อให้แล้วส่งตั๋วอิเล็คทรอนิกส์มาทางอีเมล เพราะว่าบัตรเดบิตไม่สามารถส่งรหัสการจ่ายเงินเข้าโทรศัพท์มือถือของผมได้ เนื่องจากขณะนั้นใช้เบอร์ของยุโรปอยู่

รถออกเวลา 09.30 น. ของวันต่อมา ซึ่งเป็นวันที่อากาศดีมากเหมือนอย่างแกล้งกัน อาการไข้ก็หายเกือบสนิทแล้ว ผมเช็กเอาต์จากโรงแรมตั้งแต่ก่อน 8 โมงเช้า ซื้อตั๋วรถไฟใต้ดินแบบเที่ยวเดียวราคา 2.40ยูโร ซึ่งมารู้ทีหลังว่าต้องซื้อตั๋วแบบ Transit เพราะต้องเปลี่ยนสายรถจากสาย 1 ที่สถานี Stephanplatz เป็นสาย 3 ไปยังสถานี Sudtiroler Platz HBF แต่ไม่มีการตรวจตั๋ว แค่แหย่เข้าเครื่อง Validation ก่อนลงไปยังชานชาลาเท่านั้น

ที่สถานีขนส่ง Busbahnhof Wiedner Gurtel ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับ Wien HBF หรือสถานีรถไฟกลางของกรุงเวียนนา โชเฟอร์ขอดูตั๋วจากโทรศัพท์มือถือ ผมนึกว่าเขาจะใช้เครื่องสแกนบาร์โค้ดแต่เขาแค่ดูชื่อเท่านั้น เมื่อชื่อตรงกับที่เขามีในลิสต์ก็ขึ้นไปนั่งได้เลย บนรถมีผู้โดยสารแค่ประมาณ 10 คน คนที่นั่งด้านหลังของผมเป็นสาวเอเชีย ตัวเล็กหน้าตาจิ้มลิ้ม เธอนอนหลับประมาณครึ่งหนึ่งของเวลาการเดินทางทั้งหมด 10 ชั่วโมง

กฎหมายของที่นี่ระบุให้รถโดยสารจอดพัก 45 นาทีทุกการเดินทาง 4 ชั่วโมงครึ่งเพื่อสวัสดิภาพของทุกๆ คน รถบัสจอดในจุดจอดพักที่มีร้านแม็คโดนัลด์ตั้งอยู่ซึ่งผู้โดยสารต่างเดินเข้าไปอย่างอัตโนมัติ สาวเอเชียคนเดิมถามว่ารถจอดพักกี่นาที ผมตอบ 45 นาที แล้วก็ถามเธอกลับว่ามาจากประเทศอะไร เธอเดินสไลด์ๆ ไปทางด้านข้าง ยิ้มแล้วตอบ “เซาท์โคเรีย”

St.Francis of Assisi Church โบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาธอลิค

หลังจากกลับมาขึ้นรถอีกครั้ง ผมกดน้ำขวดเล็กจากตู้ในรถราคา 1 ยูโร ซึ่งถูกกว่าในปั้มน้ำมันข้างๆ ที่จอดรถที่ขาย 2 ยูโรกว่าและคิวยาวมาก ไม่นานต่อมารถจอดอีกครั้ง แล้วคนขับก็เดินลงไปพร้อมสัมภาระ สวนทางกับโชเฟอร์คนใหม่ที่เดินขึ้นมา เขาเดินมานับจำนวนผู้โดยสาร แล้วกลับไปประจำการหน้าพวงมาลัย

รถจอดอีกครั้งที่เมืองเนิร์นแบร์ก ประเทศเยอรมนี ปล่อยคนลงและรับผู้โดยสารใหม่ขึ้นมา สาวเกาหลีตื่นมาเล่นโยคะอยู่ตรงทางเดินโดยไม่แคร์สายตาใครๆ แล้วเธอก็กลับไปนอนต่อ เวลาทุ่มครึ่งรถก็มาจอดที่อู่ในนครแฟรงก์เฟิร์ต ฟ้าเดือนมิถุนายนยังคงสว่าง

ดูเหมือนว่าสาวเกาหลีจะเรียนหนังสืออยู่ที่เมืองนี้ ผมจึงถามว่า “สถานีรถไฟ Hauptbahnhof เดินไปยังไง” เธอชี้บอกทางแล้วเสริมว่า “ฉันก็จะเดินไปอยู่เหมือนกัน” เธอเดินนำไปก่อน และเดินเร็วมาก

ผมหยิบกระเป๋าจากใต้ท้องรถขึ้นสะพายหลัง จะเดินตามไปก็ไม่ทันเสียแล้ว.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"