ประทินพึ่งศาล โต้'ก่อการร้าย' มือบึ้มจ้องฆ่าอี้


เพิ่มเพื่อน    

   "ประทิน” โอดแค่ขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ขอบคุณประชาชนกลับกลายเป็นผู้ก่อการร้าย ข้องใจ ตร.ไม่มีหลักฐานแต่พยายามยัดข้อหา หวังศาล รธน.เป็นที่พึ่งสุดท้าย "ทนาย” ยกคำวินิจฉัยเดิมที่เคยชี้ว่าการชุมนุมไม่ขัด รธน. เจ้าของระเบิดเมืองทองรับนอกจากปาบึ้มใส่บ้าน "สำราญ" ยังควงเอ็ม 16 ตามสังหาร "แทนคุณ" ด้วย แต่ไม่เจอ "ศรีวราห์" เผยแกะรอยอีก 3-4 เคส "อี้" แจ้งความดำเนินคดี วอนทุกฝ่ายอย่าใช้ความรุนแรง
    เมื่อวันจันทร์ ที่ซอยสุขุมวิท 39 ภายในซอยพร้อมศรี 2 บ้านพักของ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ พร้อมด้วยนายประยงค์ ไชยศรี ทนายกลุ่มยุติธรรมภิวัฒน์ ได้ร่วมกันแถลงข่าวกรณี พล.ต.อ.ประทินตกเป็นจำเลยคดีก่อการร้ายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จากการชุมนุมที่สนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ เมื่อปี 2551 ที่ผ่านมา
    โดย พล.ต.อ.ประทินกล่าวว่า รัฐธรรมนูญปี 50 มีกฎหมายบัญญัติสำหรับคุ้มครองผู้ชุมนุม ในมาตรา 69, 70 และ 71 โดยเฉพาะมาตรา 71 ที่ระบุว่า เป็นหน้าที่ของประชาชนชาวไทยทุกคนในการปกป้อง รักษาประเทศ ศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ เช่นเดียวกับ ม.70 ที่ระบุถึงสิทธิในการทักท้วงรัฐบาล หากรัฐบาลบริหารประเทศจนเกิดความเสียหาย แต่ไม่ได้มีการบัญญัติถึงวิธีการขับไล่ ซึ่งเป็นแนวทางของผู้ชุมนุมในการหาวิธีกดดันเพื่อให้รัฐบาลลาออก ไม่อย่างนั้นประเทศชาติจะเสียหายอีกหลายเรื่อง แม้ตนจะถูกตั้งข้อกล่าวหาถึง 5 ข้อ ได้แก่ 1.มั่วสุมเกินกว่า 10 คนขึ้นไป 2.เข้าไปในเคหสถานของผู้อื่นและไม่ยอมออกจากสถานที่นั้น 3.บุกรุกเข้าไปในสนามบิน ทำให้สนามบินไม่สามารถใช้การได้ 4.ขัดขวางการจราจร 5.ร่วมกันทำให้การสื่อสารสาธารณะขัดข้อง  จนกลายเป็นผู้ก่อการร้าย แต่ข้อกล่าวหาทั้งหมดเป็นความผิดซึ่งหน้าทั้งหมด ขณะนั้นก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ในเหตุการณ์ แต่ทำไมถึงไม่ดำเนินการจับกุมทันที แต่ต้องมีการแจ้งความก่อนมีการเอาผิดภายหลัง ซึ่งผู้ไปแจ้งความเองก็เป็นคนของรัฐบาลที่เสียประโยชน์
    “ทั้งที่ผมโดนแจ้งข้อกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย แต่กลับไม่มีการจับกุมจนมีการแจ้งความ ทั้งที่ไม่มีหลักฐาน ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็พยายามยัดข้อกล่าวหา เมื่อพบท่อนไม้ ก็กล่าวหาว่าเป็นของกล่มผุ้ชุมนุม ซึ่งผมไม่เชื่อมั่นในการทำสำนวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ” พล.ต.อ.ประทินกล่าว
    อดีตอธิบดีกรมตำรวจกล่าวว่า จากการตรวจสอบบัญชีของผู้ต้องหาทั้งหมด พบว่าทุกคนมีพฤติการณ์ในคดีหมด แต่ตนไม่มีพฤติการณ์ใดเลย นอกจากการที่ตนเดินทางไปพบประชาชนที่สนามบินสุวรรณภูมิ เท่านั้น เนื่องจากตนกำลังขับรถไปบ้านพักที่ จ.สมุทรปราการ ก่อนที่จะจอดรถดู ก่อนขึ้นเวทีเพื่อกล่าวขอบคุณประชาชนที่มาร่วมชุมนุมไม่ถึง 5 นาที เท่านั้น โดยไม่มีหลักฐานเพียงภาพและคลิปเสียง ขณะที่ขึ้นเวที ซึ่งในระหว่างการสอบสวน ตนได้ถามพนักงานสอบสวนว่ามีพยานหลักฐานอื่นอีกหรือไม่ ทางพนักงานสอบสวนเองก็แจ้งว่าไม่มี ซึ่งตนไม่ได้ร่วมเดินขบวน และชุมนุมในสนามบินสุวรรณภูมิ เนื่องจากขณะนั้นตนมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจเต้นผิดปกติ ต้องไปพบแพทย์ตลอด ซึ่งหากแข็งแรงดีคงไปร่วมเดินขบวนด้วยแล้ว
    “เชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญเป็นที่พึ่งสุดท้าย สำหรับวินิจฉัยว่าการกระทำดังกล่าวนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยได้ไปยื่นคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา ในนามของกลุ่มยุติธรรมภิวัฒน์” พล.ต.อ.ประทิน ระบุ
    ด้านนายประยงค์กล่าวว่า มี 2 ประเด็นที่ได้ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ได้แก่ 1.การชุมนุมของภาคประชาชนในขณะนั้น มีคนของรัฐบาลไปยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญว่าการชุมนุมขัดรัฐธรรมนูญ ม.68 เป็นการล้มล้างรัฐบาล ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการเดินขบวนหรือการชุมนุมได้กระทำโดยไม่ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่เจ้าหน้าที่รัฐและรัฐบาลกลับไม่ผูกพันตามคำวินิจฉัยดังกล่าว ยังคงดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมต่อการยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา จึงเป็นการให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอีกครั้งว่าถือว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ยอมผูกพันตามคำวินิจฉัยในตอนแรกหรือไม่ 2.ต้องการให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นทั้งหมด นับแต่ชุมนุมของพันธมิตรฯ และ กปปส.ได้กระทำไปภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญหรือไม่
     “หลังผ่านการขับไล่รัฐบาลทุนสามานย์ เราถือว่าเรามาทำหน้าที่ของประชาชนในการปกป้องผลประโยชน์ชาติ อันเกิดจากการกระทำของรัฐบาลในขณะนั้น แต่เมื่อรัฐบาลในขณะนั้นพ้นอำนาจไป พนักงานอัยการซึ่งเป็นทนายของแผ่นดินกลับเป็นโจทก์มาฟ้องจำเลยที่ต่อสู้เพื่อประเทศชาติ พนักงานอัยการนั้นเป็นผู้เสียหายได้อย่างไร และเป็นผู้เสียหายแทนใคร และที่สำคัญที่สุดคือผู้กล่าวโทษเป็นคนของรัฐบาลที่เสียอำนาจไปแล้วทั้งสิ้น” นายประยงค์กล่าว
     ที่กองบังคับการปราบปราม พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. เดินทางรับตัวนายกฤษชาภณ หรือสุกิจ พูลศิลป์ เจ้าของห้องพักเลขที่ 2/28 อาคารที 10 คอนโดเมืองทองธานี ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี กรณีพบวัตถุระเบิดจำนวนหลายรายการในห้องพัก เมื่อวันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมา และเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงทหาร ได้เชิญตัวไปควบคุมเพื่อซักถามปากคำนายกฤษชาภณให้การยอมรับสารภาพ ว่าได้ร่วมกับนายกฤศ หรือธีรชัย อุตรวิเชียร, นายวุฒิพงศ์ หรือโกตี๋ กชธรรมคุณ, นายอุดมชัย นพสวัสดิ์, นายนิคม ไชยต้นเทือก และนายธีระพัฒน์ หรือธวัชชัยบุญมาก ก่อเหตุขว้างระเบิดเข้าไปในบ้านของนายสำราญ รอดเพชร (แกนนำ กปปส.) ที่บ้านเลขที่ 27/1 หมู่บ้านชวนชื่น ซอยคู้บอนซอย 6 แขวงรามอินทรา เขตคันนายาว กรุงเทพมหานคร เหตุเกิดเมื่อวันที่ 28 ม.ค.2557 เวลาประมาณ 03.00 น.
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเจ้าหน้าที่รับตัว มีแพทย์เวรจาก รพ.ตำรวจทำการตรวจร่างกายและแสดงหมายจับ โดยมีทนายจากสภาทนายความร่วมรับฟังการสอบปากคำด้วย และจากการสอบสวนนายกฤษชาภณให้การรับสารภาพว่า นอกจากร่วมกันขว้างระเบิดใส่บ้านนายสำราญแล้ว ยังมีแผนสังหาร นายอี้ แทนคุณ จิตต์อิสระ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ด้วย โดยวันเกิดเหตุชุดปฏิบัติการ 5-6 คน โดยส่วนใหญ่อยู่ในชุดปฏิบัติการปาระเบิดบ้านนายสำราญ ขี่รถ จยย. 2 คันไปดูลาดเลาที่ทำการพรรคของนายแทนคุณย่านหลักสี่ แต่ไม่พบตัวเนื่องจากนายแทนคุณอยู่เวทีของ กปปส.ตลอดเวลา แผนสังหารครั้งนี้มีนายโกตี๋เป็นคนสั่งการ แต่วันไปดูที่ทำการพรรคตนไม่ได้ไปด้วย ชุดปฏิบัติการดังกล่าวมีอาวุธปืนเอ็ม 16 จำนวน 2 กระบอก ตระเวนดูลาดเลา 2 ครั้ง ถ้าเจอก็ยิงเลย 
    ด้าน พล.ต.อ.ศรีวราห์เปิดเผยว่า นอกเหนือจากกรณีของนายแทนคุณแล้ว ยังมีอีกหลายเคส แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ เป็นเรื่องลับ มีอยู่ประมาณ 3-4 เคส ทางฝ่ายความมั่นคงของกองทัพอยู่ระหว่างการสืบสวน ยืนยันว่ามีอีกหลายเคส ที่ต้องดำเนินการต่อเนื่อง ส่วนคนที่อยู่เหนือนายโกตี๋ในการสั่งการนั้นอยู่ระหว่างสืบสวน แต่เบื้องต้นนายโกตี๋เป็นผู้สั่งการ
    ขณะที่นายแทนคุณและนายสำราญได้เข้าร่วมรับฟังการสอบปากคำด้วย หลังจากสอบปากคำเสร็จนายแทนคุณได้เข้าแจ้งความดำเนินการร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดี พร้อมกับเปิดเผยว่า เป็นเรื่องที่ร้ายแรงมาก เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายบ้านเมือง มันก็เกินไป การชุมนุมทางการเมืองทุกฝ่ายต้องเคารพกฎหมาย ไม่ควรใช้ความรุนแรง บทเรียนครั้งนี้จะช่วยเตือนสติทุกฝ่าย ต้องเคารพกติกาบ้านเมือง ถ้าทุกคนต่างใช้อารมณ์ ใช้อาวุธ ใช้ความรุนแรงเข้าห้ำหั่นกัน ก็จะเกิดการสูญเสียกันมากกว่านี้ ทีมงานตนถูกยิงเสียชีวิตที่ตลาดโกสุม ดอนเมือง ก่อนเสียชีวิตเขายังระบุว่าตนเป็นหนึ่งในเป้าสังหาร เพราะไปขัดผลประโยชน์ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ถูกต้อง แต่ตั้งแต่ปี 2554 จนถึงขณะนี้ คดียังไม่มีความคืบหน้า มีขบวนการบางอย่างหรือไม่ที่ไม่สามารถจับคนร้ายได้
    ด้านนายสำราญกล่าวว่า การชุมนุมครั้งนั้นเป็นการชุมนุมด้วยความสันติ ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ในการจับกุมครั้งนี้ กฎแห่งกรรมมีจริง 4 ปีที่ผ่านมาทำใจไว้แล้วว่าจะไม่สามารถจับคนร้ายได้ แต่แผ่เมตตา ถือว่าเป็นกฎแห่งกรรมที่ไปพบระเบิดที่เมืองทอง และเชื่อมโยงมาถึงคดีการขว้างระเบิดใส่บ้านของตน. 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"