แฉรัฐ-เอกชนคุกคามปชช. จี้เลิกกฎหมายละเมิดสิทธิ์


เพิ่มเพื่อน    

     สถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทยยังย่ำแย่ แอมเนสตี้เปิดรายงานระบุนักปกป้องสิทธิ-ประชาชน ถูกภาครัฐและเอกชนละเมิดสิทธิเสรีภาพอย่างต่อเนื่อง แม้รัฐบาลประกาศเป็นวาระแห่งชาติ แต่ตรงกันข้ามยังมีการคุกคาม จับกุมดำเนินคดีคนเห็นต่าง จี้ยกเลิกคำสั่ง คสช.ที่ 3/58 และกฎหมายที่ละเมิดเสรีภาพการแสดงออก
     ที่โรงแรมเดอะสุโกศล กรุงเทพฯ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือองค์การนิรโทษกรรมสากล (Amnesty International : AI )  
แถลงเปิดตัวรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนประจำปี 2560/61 ซึ่งเป็นการรวบรวมและวิเคราะห์สถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนใน 159 ประเทศทั่วโลกตลอดปี 2560 ที่ผ่านมา โดยพบว่าในหลายประเทศ ซึ่งรวมถึงประเทศไทย มีการพยายามคุกคามเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมอย่างสงบของประชาชนอย่างหนัก
    แอมเนสตี้พบว่า ในปี 2560 นักปกป้องสิทธิมนุษยชน นักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม นักศึกษา ชาวบ้านที่เรียกร้องสิทธิชุมชน ทนายความ สื่อมวลชน นักวิชาการ ไปจนถึงประชาชนทั่วไปในประเทศไทย ต่างถูกภาครัฐและเอกชนละเมิดเสรีภาพในการแสดงออกอย่างต่อเนื่อง โดยข้อกฎหมายที่มักถูกนำมาอ้างใช้บ่อยครั้ง ได้แก่ มาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว มาตรา 116 ในประมวลกฎหมายอาญา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และคำสั่ง คสช.ที่ 3/2558 ซึ่งต่างมีเนื้อหาหรือการตีความที่ขัดต่อมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตาม
    ประเทศไทยยังคงส่งกลับผู้ลี้ภัยไปยังประเทศที่พวกเขาจะเสี่ยงอันตรายในปี 2560 ส่งผลให้ผู้ลี้ภัยเหล่านั้นถูกจับกุม คุมขัง เสี่ยงถูกทรมานและสังหาร หรืออาจไม่ได้รับการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม ซึ่งถือว่าผิดกฎหมายจารีตระหว่างประเทศว่าด้วยการไม่ส่งกลับ (non- refoulement) อย่างไรก็ตาม คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้จัดทำระบบคัดกรองผู้ลี้ภัยแล้ว ซึ่งหากปฏิบัติตามมาตรฐานสากลได้จริงในอนาคต ก็จะถือว่าเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญของประเทศ
    นอกจากนี้ รายงานแอมเนสตี้ฉบับนี้ยังให้ความสำคัญกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยอีกหลายประเด็น เช่น ระบบยุติธรรม การลอยนวลพ้นผิด การอุ้มหาย การทรมานโดยเจ้าหน้าที่รัฐ การสังหารนอกกระบวนการกฎหมาย และการค้ามนุษย์
    น.ส.ปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ตั้งข้อสังเกตว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าทางการไทยยังไม่ได้ให้ความสำคัญต่อสิทธิมนุษยชนของประชาชนอย่างแท้จริง แม้ว่าเมื่อไม่นานมานี้จะมีการประกาศให้สิทธิมนุษยชนเป็นวาระแห่งชาติ และเป็นหนึ่งปัจจัยขับเคลื่อนแผนพัฒนา Thailand 4.0
    "แอมเนสตี้ยินดีที่รัฐบาลไทยประกาศให้สิทธิมนุษยชนเป็นวาระแห่งชาติ ตลอดจนระบุว่าจะใช้สิทธิมนุษยชนเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน Thailand 4.0 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม การละเมิดสิทธิมนุษยชนยังคงถูกปล่อยให้เกิดขึ้นเป็นประจำ เห็นได้จากการคุกคาม จับกุม และดำเนินคดีประชาชนจำนวนมากที่ออกมาแสดงความคิดเห็นอย่างสงบ ไปจนถึงปัญหาสิทธิมนุษยชนด้านอื่นๆ ที่ระบุในรายงานของเรา และเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาประชาชนตลอดปีที่ผ่านมา” นางปิยนุชกล่าว
    นอกจากประเทศไทยแล้ว แอมเนสตี้ยังพบว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในแทบทุกประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นประเทศพัฒนาแล้วหรือกำลังพัฒนา และไม่ว่าจะเป็นการปกครองรูปแบบใดก็ตาม ผู้คนหลายล้านคนทั่วโลกต้องอยู่ในภาวะยากจน อดอยาก หรือต้องลี้ภัย เพราะมาตรการทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรม สงคราม และภัยธรรมชาติ ขณะที่การกีดกันและการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุผลด้านเชื้อชาติ ศาสนา เพศ และความเชื่อทางการเมือง ก็ยังคงส่งผลให้เกิดการสูญเสียชีวิตอยู่บ่อยครั้ง
    น.ส.ปิยนุชกล่าวว่า ปี 2561 เป็นการครบรอบ 70 ปีของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights–UDHR) ซึ่งได้รับการรับรองจากที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติตั้งแต่ปี 2491 โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ออกเสียงสนับสนุน เชื่อว่าเป็นโอกาสดีที่ประเทศไทยและทั่วโลกจะได้ทบทวนปัญหาของสังคมและหาทางออกร่วมกันว่าที่ผ่านมาสิทธิมนุษยชนของเราก้าวหน้าหรือถอยหลังมากน้อยแค่ไหน เพื่อจะได้หาทางออกร่วมกันต่อไป 
    แอมเนสตี้ขอเรียกร้องให้ทางการไทยยกเลิกคำสั่ง คสช.ที่ 3/2558 และกฎหมายอื่นๆ ที่ละเมิดเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมอย่างสงบ ยุติการควบคุมตัวโดยพลการ ยุติการนำพลเรือนขึ้นศาลทหาร ผ่าน พ.ร.บ.ป้องกันการทรมานและการอุ้มหาย คุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนให้ทำงานได้อย่างปลอดภัย เคารพหลักการไม่ส่งกลับผู้ลี้ภัยไปยังประเทศอันตราย ไปจนถึงสานต่อการจัดตั้งระบบคัดกรองผู้ลี้ภัยให้ใช้งานได้จริงตามมาตรฐานสากล ซึ่งทางแอมเนสตี้ยินดีให้ความร่วมมือหากทางการไทยมีความจริงใจในการแก้ปัญหาและพัฒนาสังคมร่วมกัน
     ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง คุมตัวนายสุกฤษฎ์ เพียรสุวรรณ อายุ 24 ปี, นายกาณฑ์ พงษ์ประภาพันธ์ อายุ 24 ปี, นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิว อายุ 25 ปี และนายอานนท์ นำภา อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาคดีร่วมกันมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 และข้อหายุยงปลุกปั่นฯ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 กรณีจัดการชุมนุมคนอยากเลือกตั้งเมื่อวันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา มายื่นฝากขังครั้งแรกเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 22 ก.พ.-5 มี.ค.นี้ เนื่องจากต้องสอบพยานอีกจำนวน 6 ปาก รอผลการตรวจสอบประวัติอาชญากร
     โดยผู้ต้องหาทั้ง 4 ก็ได้ยื่นคำร้องคัดค้านการฝากขังไว้ด้วย ต่อมาศาลจึงได้ไต่สวนคำร้องฝากขังของพนักงานสอบสวนและคำคัดค้านของผู้ต้องหาที่ห้องเวรชี้ ชั้น 1 อาคารศาลอาญา กระทั่งเวลาประมาณ 16.30 น. ศาลพิจารณาแล้วจึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องของพนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง ที่ขอฝากขังผู้ต้องหาดังกล่าว เนื่องจากผู้ต้องหามีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ไม่มีพฤติการณ์หลบหนี อีกทั้งยังให้ความร่วมมือกับพนักงานสอบสวนด้วยดีมาโดยตลอด และพนักงานสอบสวนยังสามารถรวบรวมพยานหลักฐานทางคดีได้ด้วยความสะดวก ในชั้นนี้จึงไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องฝากขังผู้ต้องหาทั้ง 4 ให้ยกคำร้อง
     ภายหลังได้รับการปล่อยตัว นายสิรวิชญ์เปิดเผยว่า หลังจากนี้ไปเราจะเดินหน้าทำกิจกรรมของเราต่อในวันเสาร์ที่ 24 ก.พ.นี้ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"