"ถอดรหัสจีโนม"คนไทยรายแรกสำเร็จ


เพิ่มเพื่อน    

3 หน่วยงานพันธมิตร" TCELS -สกว.- รพ.รามา" โชว์สุดยอดนวัตกรรม ถอดรหัสจีโนม คนไทยคนแรกสำเร็จ จากจุดเริ่มต้น เมื่อ8ปีก่อน เพื่อตรวจหายีนก่อนรักษาลดเสี่ยงแพ้ยา เตรียม ขยายผลถอดรหัสจีโนมประชากรทั้งอาเซียน ตั้งเป้า 5 ปี ตรวจ 10,000 ราย 

หลังจากทีมนักวิจัยจากศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โดยการสนับสนุนของ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (TCELS) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประสบความสำเร็จจากการถอดรหัสพันธุกรรมคนไทยคนแรกเมื่อเดือนมิถุนายน 2554 หรือ 8 ปีที่ผ่านมา โดยได้มีการขยายเครือข่ายเภสัชพันธุศาสตร์และจีโนมทางการแพทย์ไปยังกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่ปี 2555 โดยมีการประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนและอัพเดทความก้าวหน้าในการใช้นวัตกรรมบริการของแต่ละประเทศ กระทั่งล่าสุดปี 2560 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และสถานบันจีโนมริเก้น ประเทศญี่ปุ่น ได้ร่วมกันสนับสนุนทุนวิจัยแก่ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ฯ เพื่อถอดรหัสพันธุกรรมยีนที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยา 100 ยีนในประชากรภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จำนวน 1,000 คน
เมื่อวันที่ 23 ก.พ.ที่ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ 3หน่วยงานวิจัย  TCELS สกว. และ ศูนย์วิจัยจีโนมทางการแพทย์ฯ ร่วมกันแถลงข่าว ถึงความสำเร็จของนักวิจัยที่ถอดรหัสจีโนมคนไทยเพื่อตรวจหาพันธุกรรมการแพ้ยาก่อนวางแผนการรักษาโรคเฉพาะบุคคล  จนขยายผลไปสู่การตรวจประชากรในกลุ่มอาเซียน

 ดร.ศิรศักดิ์ เทพาคำ รองผู้อำนวยการด้านวิชาการและนวัตกรรม TCELS กล่าวว่า TCELS ได้ร่วมกับ รพ.รามาธิบดี จัดตั้งเครือข่ายเภสัชพันธุศาสตร์ระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ South East Asian Pharmacogenomics Research Network (SEAPHARM) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 เป็นต้นมา และได้มีการประชุมร่วมกันเพื่อระดมความคิดเห็นในการพัฒนางานวิจัย    เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านเภสัชพันธุศาสตร์และจีโนมทางการแพทย์ในระดับภูมิภาค  โดยได้สลับสับเปลี่ยนกันเป็นเจ้าภาพในแต่ละปี และในปีนี้ก็มีการประชุมขึ้นระหว่างวันที่  22 - 23 ก.พ.  เพื่อร่วมระดมสมองในการสร้างเครือข่ายฯ โดยปีนี้พิเศษกว่าทุกปี คือ มีการประชุมนักวิจัยประเทศในกลุ่มอาเซียน เพื่อร่วมมือกันในโครงการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของประชากรไทย และอีก 8  ประเทศอาเซียนควบคู่ไปกับการถอดรหัส 100 ยีนที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาที่เริ่มไปก่อนล่วงหน้า โดยการดำเนินการภายใต้โครงการดังกล่าวนี้คาดว่าจะสามารถส่งผลให้เกิดการพัฒนาแบบก้าวกระโดดสนับสนุนอุตสาหกรรม S-Curve ของประเทศไทยในด้านอุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ

ศ. ดร.วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าศูนย์จีโนมทางการแพทย์ฯ  กล่าวว่า โครงการดังกล่าวเริ่มต้นจากศูนย์จีโนมทางการแพทย์ฯ ได้ทำการ"ถอดรหัสจีโนม"ของคนไทยรายแรก ที่มีบรรพบุรุษอาศัยอยู่ในประเทศไทย  4 ชั่วอายุคน  ด้วยการตรวจหาพันธุกรรมการแพ้ยา ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2554 กระทั่งประสบความสำเร็จจนขยายผลไปสู่การถอดรหัสพันธุกรรมยีนที่เกี่ยวข้องกับการให้ยาจำนวน 100 ยีนในประชากรในประเทศสมาชิกอาเซียน ได้แก่ ไทย บรูไน พม่า ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ลาว เวียดนาม สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย โดยการสนับสนุนจากสถาบันวิจัยจีโนมริเก้น ประเทศญี่ปุ่น (RIKEN Center for Integrative Medical Sciences (IMS)) พร้อมไปกับการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมจากตัวอย่างดีเอ็นเอของชาติอาเซียนอีกจำนวนหนึ่ง จากโครงการความร่วมมือกับสถาบันจีโนมปักกิ่ง (Beijing Genomics Institute) สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาสำคัญในด้านการรักษาด้วยยา 3 ประการคือ หนึ่งยาที่บางคนใช้แล้วจะเกิดแพ้อย่างรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต สองยาที่ใช้ไม่ได้ผลในบางบุคคล  และสามการปรับปริมาณยาที่ใช้ในแต่ละบุคคลเพื่อให้ได้ผลการรักษาสูงสุด ร่วมไปกับการดำเนินโครงการย่อยด้านเภสัชพันธุศาสตร์อีก 6 โครงการ โดยตั้งเป้าตรวจขยายผล 10,000 รายภายใน 5 ปี

“ซึ่งหากการวิจัยแล้วเสร็จ ก็จะกลายเป็นทางเลือกใหม่ ให้แพทย์ทั่วทั้งอาเซียนนำไปทดลองใช้ เพราะการรักษาแบบเดิมที่ต้องเลือกใช้ยากับผู้ป่วยแบบลองผิดลองถูก บางรายจำเป็นต้องยาราคาแพงต่อเนื่องแต่กลับเป็นยาที่ไม่ได้ผลทำให้ไม่หาย บางรายหายช้าเพราะขนาดยาที่ใช้น้อยหรือมากเกินไป และบางรายเกิดอาการแพ้ยา โดยบางกรณีไม่ใช่แค่ผื่นขึ้น แต่รุนแรงถึงขั้นพิการหรือเสียชีวิต หากปรับมาสู่การรักษาที่มุ่งเน้นการใช้ยาเฉพาะบุคคล ที่สอดคล้องกับพันธุกรรมของผู้ป่วย ก็จะปลอดภัยและเป็นมาตรฐานในการรักษาต่อไปในอนาคต” ศาสตราจารย์ ดร.วสันต์ กล่าว

ด้าน รศ.ดร.นพ. พงศกร  ตันติลีปิกร  ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สกว. ด้านเครือข่ายวิจัยนานาชาติและวิเทศสัมพันธ์ กล่าวว่าเป้าหมายของการสนับสนุนโครงการเครือข่ายวิจัยนานาชาติ หรือ IRN (The International Research Network)  คือการสร้างความเข้มแข็งด้านการวิจัย และแก้ปัญหาสำคัญของประเทศ อันจะนำไปสู่การพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถในการวิจัยของประเทศตามนโยบายและยุทธศาสตร์การวิจัยของชาติ มีการจัดสรรทุนวิจัย ทุนพัฒนาเครือข่ายวิจัยนานาชาติ ทุนผู้ช่วยวิจัยระดับปริญญาเอก และนักวิจัยหลังปริญญาเอกให้กับแต่ละเครือข่ายฯ และการประชุม SEAPharm ในครั้งนี้ถือเป็นกิจกรรมแรกของเครือข่ายฯ การดำเนินการภายใต้โครงการดังกล่าวนี้คาดว่าจะสามารถส่งผลให้เกิดการพัฒนาแบบก้าวกระโดดสนับสนุนอุตสาหกรรม S-Curve ของประเทศไทยในด้านอุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ 

นอกจากนี้ยังสร้างความแข็งแกร่งและความยั่งยืนให้กับการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมบริการและผลิตภัณฑ์ด้านเภสัชพันธุศาสตร์ และจีโนมทางการแพทย์ นอกจากนั้นยังเป็นการผลักดันให้ประเทศไทยได้เข้าไปมีบทบาทสำคัญในการเป็นประตูสู่อาเซียนด้านเภสัชพันธุศาสตร์และจีโนมทางการแพทย์ (Asian corridor of pharmacogenomics and genomic medicine) และเป็นการยกระดับการพัฒนางานวิจัย ด้านเภสัชพันธุศาสตร์ให้พัฒนาทัดเทียมนานาอารยะประเทศต่อไป


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"