ศาสนากับการปฏิรูป


เพิ่มเพื่อน    

(1)

        เรื่องของธรรมะ หรือศาสนานั้น...ถ้าว่ากันในระดับลึกซึ้ง ระดับสูงๆ ไปถึงขั้นโลกุตตระอะไรประมาณนั้น มักคิดๆ กันไปเองว่า ออกจะเป็นอะไรที่ยากซ์ซ์ซ์เอามากๆ ต่อการสัมผัส รับรู้ ทำความเข้าใจ ส่วนใหญ่...เลยมักหันมาหาอะไรที่ง่ายๆ พื้นๆ ที่ไม่ต้องเสียเวลาคิด เสียเวลาตีความ แปลความ อะไรมากมาย โดยเฉพาะเมื่อมีความพยายามชักจูงใครต่อใครให้หันมาสนใจในเรื่องธรรมะและศาสนา...

(2)  

        ยิ่งถ้าหวังจะชักจูง เกลี้ยกล่อม โน้มน้าว พวก วัยรุ่น ด้วยแล้วล่ะก็ บางครั้ง บางครา...พระท่านเลยหนีไม่พ้นต้องรับบทเป็น ตลกคาเฟ่ เอาดื้อๆ เทศน์คำ ฮาคำ นั่งประดิษฐ์ คิดค้น มุกฮา จนแทบไม่เหลือสมาธิ ปัญญา ติดจีวรเอาไว้เลยก็ยังมี ส่วนผลลัพธ์หลังจากนั้น หรือหลังจากฮาแล้ว จะช่วยให้บรรดาวัยรุ่นเหล่านั้น หันหน้าเข้าวัดได้มากน้อย แค่ไหน และเมื่อ เข้าไปในวัดแล้ว...จะมีโอกาสได้เจอะเจอกับอะไรที่นอกเหนือไปจาก เทพ โพธิ์งาม หรือ หม่ำ จ๊กมก ฯลฯ ได้บ้างหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นคำตอบ คำอธิบาย ในเรื่องชีวิต เรื่องโลก เรื่องจักรวาล เรื่องธรรมชาติอันอยู่เหนือไปจากธรรมชาติที่ปรุงแต่ง ทั้งหลาย ฯลฯ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเอามากๆ ในการทำความเข้าใจกับธรรมะและศาสนาให้ลึกลงไปถึงแก่นกลาง...

(3)

        เพราะถ้าเอาแต่ติดกันอยู่ที่ กระพี้ ในแต่ละรูป แต่ละแบบ ธรรมะหรือศาสนา...อาจไม่ต่างอะไรไปจาก ยาเสพติด อย่างที่พวกคอมมิวนิด คอมมูหน่อย เขาเคยประณามไว้เลยก็ไม่แน่!!! หรือเผลอๆ...อาจกลายเป็นแค่ เครื่องมือทางการตลาด อย่างที่พวกทุนนิยง ทุนนิยม เขานำมาแปลงสภาพ จนเกิดตลาดพระเครื่อง ตลาดเครื่องราง ของขลัง วัตถุบูชา ไปจนการขายค้อนสวรรค์ ขายตั๋วร่วมเดินทางกับจานบินไปตักบาตรพระพุทธเจ้า ไม่ต่างไปจากที่พวกบาทหลวงชาวคริสต์ เคยขายใบ ไถ่บาป ให้กับคริสต์ศาสนิกชน จนก่อให้เกิดกระแสปฏิรูปศาสนา และนำไปสู่ สงครามศาสนา ในหมู่ชาวคริสต์ด้วยกันเองนับเป็นร้อยๆ ปี ไม่ต่างไปจากที่ชาวอิสลาม ต้องไล่เข่น ไล่ฆ่า ชาวพุทธ ชาวคริสต์ ชาวฮินดู ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีที่มา อันเนื่องมาจาก...ความไม่เข้าถึง-เข้าใจ ในแก่นแท้ แก่นกลาง แห่งศาสนาตัวเองไปด้วยกันทั้งสิ้น...

(4)

        คือถ้าสามารถหลุดออกจาก กระพี้ มีโอกาสเข้าไปแตะแม้แต่ห่างๆ กับสิ่งซึ่งถือเป็นแก่นกลาง แก่นสาระ ของศาสนาแต่ละศาสนา ถ้าว่ากันตามที่ผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้ใฝ่ใจศึกษาเรื่องราวทำนองนี้ ท่านว่าไว้ว่า...เผลอๆ เพียงแค่คนคนเดียว อาจกลายเป็นผู้สามารถนับถือศาสนาในแต่ละศาสนา ได้แทบจะครบหมด อย่างที่ ปราชญ์แห่งวงการศาสนาอิสลาม ท่าน หัจยี ประยูร วทานยกุล ผู้เป็น สหธรรมิก ที่ใกล้ชิดเอามากๆ กับ ปราชญ์แห่งศาสนาพุทธ อย่าง ท่านพุทธทาสภิกขุ ท่านเคยรจนาเอาไว้เป็นกลอนนั่นแหละว่า “ถ้าฉันเป็นพุทธ-คริสต์-อิสลาม/โดยถือตามลัทธิพิธีเป็นที่หมาย/โดยตัวตนฉันต้องเป็นถึงสามนาย/จึงจะได้เสร็จสมอารมณ์นึก/แต่หากฉันเป็นพุทธ-คริสต์-อิสลาม/โดยยึดตามสัจจริงสิ่งรู้สึก/เพียงคนเดียวก็เป็นได้ดังใจนึก/โปรดตรองตรึกท่านจะเห็นเช่นว่านี้...”

(5)

        พูดง่ายๆ ว่า...ถ้าลองหลุดไปจาก กระพี้ หลุดไปจากเรื่องง่ายๆ พื้นๆ ที่มักถูกหยิบมาใช้เป็น เครื่องมือ ในการเกลี้ยกล่อมโน้มน้าว หรือชักจูงใครต่อใครให้เข้าวัด เข้าโบสถ์ เข้าสุเหร่า โดยไม่ต้องเสียเวลาคิดหน้า-คิดหลังอะไรกันบ้างเลย หลุดเข้าไปสัมผัสกับสิ่งที่เรียกว่า พระเจ้า, พระอัลเลาะห์, ปรมัตถมัน หรือ พระนิพพาน ฯลฯ ตามแบบที่มักถูกนำมาพูดถึง กล่าวถึง ในระดับ โลกุตตระ แล้ว แม้แต่ในระดับห่างๆ ไกลๆ ไม่ถึงขั้นต้องหลอม ตัวตน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้า ไม่ถึงขั้นต้องไปนิพพาน ไม่ถึงกับต้องกลับไปรวมกับปรมัตถมัน ฯลฯ เพียงแค่นึกๆ คิดๆ ในทางเหตุผล หรือในทาง ทฤษฎี เท่านั้น โอกาสที่จะกลายสภาพเป็นพุทธ-คริสต์-อิสลาม ภายในตัวตนของคนคนเดียว อย่างที่ท่าน ฮัจยีประยูร วทานยกุล ท่านว่าไว้ ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ...

(6)

        ด้วยเหตุเพราะบรรดาสิ่งทั้งหลาย ทั้งปวงเหล่านี้...ก็แทบจะเป็น สิ่งเดียวกัน นั่นแล เป็นสิ่งที่ถือเป็นแก่นกลาง แก่นสาระของศาสนาต่างๆ ไปด้วยกันทั้งสิ้น และเป็นสิ่งที่ทำให้ ธรรมะ หรือ ศาสนา ย่อมไม่ใช่ ยาเสพติด ใดๆ โดยเด็ดขาด แต่จะกลายเป็น ยารักษาโรค สารพัด สารเพ ชนิดหายเกลี้ยง หายขาด ไม่ต้องเรื้อๆ รังๆ ใดอีกต่อไป แถมเอามาดัดแปลงให้เป็น “เครื่องมือทางการตลาด” ใดๆ ไม่ได้เลย เนื่องจากเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือไปจาก รสนิยม ใดๆ ด้วยกันทั้งสิ้น เหนือไปจากกาล สถาน และโอกาส เป็น อกาลิโก ที่ไม่อาจนำมาดัดแปลงให้เข้ากับรสนิยมของผู้หนึ่ง ผู้ใด ไม่ว่ายุคใด สมัยใด นอกซะจากผู้นั้น ต้องหาทางดัดแปลงตัวเองให้สอดคล้องไปกับสิ่งที่ว่าเท่านั้น...

(7)

        แต่ก็นั่นแหละ...ด้วยเหตุที่ใครต่อใครมักคิดๆ กันไปเอง ว่าสิ่งเหล่านี้...เป็นอะไรที่ยากจะเข้าถึง เข้าใจ ได้ง่ายๆ ทั้งๆ ที่เป็นสิ่งซึ่งมีอยู่ภายใน ตัวตน ของแต่ละคนอยู่แล้วด้วยกันทั้งสิ้น หรือมีอยู่ใน สรรพสิ่ง ทุกสรรพสิ่ง เพียงแต่อยากจะมองหา หรือมองเห็นกันหรือไม่เท่านั้น การหันไปนำเอาสิ่งอื่นๆ มาใช้โน้มน้าว เกลี้ยกล่อม ชักจูงผู้คนให้หันมาหาธรรมะและศาสนา แทนที่จะชี้ชวนให้หันเข้าไปมองภายใน ตัวตนของตน มันเลยทำให้ กระพี้ ต่างๆ ค่อยๆ หนาขึ้นๆ จนแทบไม่มีใครสนใจเรื่อง โลกุตตระ อีกต่อไป หันไปคว้าเอาสิ่งที่ตรงกับ รสนิยม ตัวเองซะเป็นหลัก จนธรรมะและศาสนากลายเป็นอะไรที่ห่างไกลไปจาก โลกียะ ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นเรื่องที่ถึงขั้นต้องอาศัย ตลกคาเฟ่ มานั่งแปลความ ตีความ ท่ามกลางความขัดแย้งทางศาสนา หรือการเรียกร้องให้ ปฏิรูปศาสนา กลับทวีความดุเดือด รุนแรง ยิ่งขึ้นทุกที.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"