จตุพร-ขวัญชัย ลากสังขารร่วม สู้คดีก่อการร้าย


เพิ่มเพื่อน    

  ศาลอาญาสั่งจำคุก "วัฒนาแดง" มือบึ้มโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ อีก 26 ปี ฐานใช้ระเบิดโดยไม่ได้รับอนุญาตเพื่อฆ่าคน รวมเบ็ดเสร็จ 7 คดี คุกกว่า 160 ปี ส่วนคดีแกนนำ นปช.ก่อการร้ายเดินถึงครึ่งทาง  ผลตอบแทนระบอบทักษิณ "จตุพร" นำทีมเดินทางไปมาระหว่างคุกกับศาล

    ที่ห้องพิจารณา 808 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ศาลอ่านคำพิพากษา สำนวนที่ 7 คดีหมายเลขดำ อ.3157/2560 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายวัฒนา หรือตุ่ม ภุมเรศ อดีตวิศวกร กฟผ. วัย 62 ปี เป็นจำเลย ในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ทำให้เกิดระเบิด, ทำให้เสียทรัพย์ และพกพาอาวุธระเบิดไปในที่สาธารณะ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289 (4) พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ.2490 มาตรา 4, 38, 55, 74, 78
     พิพากษาว่า จำเลยมีความผิด ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ฐานทำ  ประกอบและมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน และฐานใช้วัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ เพื่อกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่น คงจำคุก 25 ปี รวมจำคุกจำเลย 26 ปี 6 เดือน กับให้นับโทษจำคุกของจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญา หมายเลขแดงที่ อ.2574/2560, อ.3438/2560, อ.113/2561, อ.114/2561, อ.115/2561 และ อ.149/2561
    ก่อนหน้านี้ ศาลมีคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการยื่นฟ้องนายวัฒนาไปแล้วจำนวน 6 สำนวน โดยไม่มีการยื่นอุทธรณ์ ประกอบด้วย 1.คดีครอบครองวัตถุระเบิดซึ่งพบในบ้านพักย่านบางเขน จำคุก 4 ปี ปรับ 975 บาท 2.คดีระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า จำคุก 26 ปี 12 เดือน และปรับ 500 บาท 
    3.คดีระเบิดหน้ากองสลากเดิม จำคุก 26 ปี 12 เดือน ปรับ 500 บาท และให้ชดใช้หญิงผู้เสียหาย 1 ราย จำนวน 130,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันเกิดเหตุ 4.คดีระเบิดหน้าโรงละครแห่งชาติ จำคุก 26 ปี 12 เดือน ปรับ 500 บาท และให้ชดใช้ผู้เสียหาย 1 ราย จำนวน 10,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันเกิดเหตุ 
    5.คดีระเบิดหน้าโรงภาพยนตร์เมเจอร์ เมื่อปี 2550 จำคุก 26 ปี 6 เดือน และ 6.คดีนำระเบิดไปวางที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะหน้ากองบัญชาการกองทัพบก จำคุก 26 ปี 6 เดือน ซึ่งเมื่อรวมโทษในสำนวนที่ 7 เท่ากับนายวัฒนาต้องถูกจำคุกเป็นเวลาถึง 160 ปี 54 เดือน
    วันเดียวกันนี้ ที่ห้องพิจารณา 909 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดสืบพยานโจทก์ปากสุดท้ายในคดีก่อการร้าย หมายเลขดำที่ อ.2542/2553 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์, นายจตุพร พรหมพันธุ์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นพ.เหวง โตจิราการ และนายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กับพวกรวม 24 คน เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันก่อการร้าย และข้อหาอื่นๆ กรณีกลุ่ม นปช.ชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อปี 2553 ซึ่งจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา
    ศาลได้เบิกตัวนายจตุพร และนายขวัญชัย ไพรพนา จำเลยร่วม จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาฟังการพิจารณาพร้อมกับจำเลยคนอื่นๆ โดยนายจตุพรที่มีร่างกายซูบผอมลง แต่มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส โบกมือทักทายสื่อมวลชนและประชาชนที่เดินทางมารอให้กำลังใจ 
    ขณะที่นายขวัญชัยก็ซูบผอมลง พร้อมถือไม้เท้าเดิน ส่วนนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง แกนนำ นปช. จำเลยร่วมที่เพิ่งได้รับการประกันตัวระหว่างฎีกาในคดีบุกล้มการประชุมอาเซียนก็เดินทางมาศาล โดยดูซูบผอมลงเล็กน้อย
    นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความนายจตุพร เปิดเผยว่า เป็นนัดสืบพยานโจทก์ปากสุดท้าย ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นที่น่าสังเกตว่าพยานโจทก์ปากดังกล่าวไม่ใช่พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดีดังกล่าว แต่เป็นพยานที่ฝ่ายอัยการพยายามหาพนักงานที่อ้างว่าเป็นชุดสอบสวนด้วยนั้นมาเบิกความเพื่อรับรองพยานเอกสารบางอย่างที่มีการนำส่งต่อศาลมาทีหลัง จึงเป็นที่น่าสังเกตุว่า การที่นำพยานปากนี้มา เราก็จะพิสูจน์ให้เห็นหลายประการว่าการสอบสวนของดีเอสไอเเละมติของดีเอสไอสมัยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นผู้อำนวยการ ศอฉ.นั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย เราจึงจะนำมาซักค้านในวันนี้ โดยหลังจากซักค้านในวันนี้เสร็จ ต่อไปก็จะเป็นขั้นตอนการสืบพยานจำเลยนัดเเรก
    "ผมมั่นใจในคดีนี้มาตั้งแรกอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นการตั้งข้อหาที่เกินกว่าเหตุซึ่งพฤติการณ์ ซึ่งการสืบพยานของโจทก์มาเราเห็นถึงข้อพิรุธหลายเรื่อง แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียด เนื่องจากคดีอยู่ในการพิจารณาของศาล ซึ่งฝ่ายจำเลยก็ไม่ได้หนักใจอะไรในข้อกล่าวหาที่ร้ายแรง อาจจะมีเพียงเรื่องการขัดขืนหรือฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินในขณะนั้น เป็นอัตราโทษไม่ร้ายแรงมาก ซึ่งก็ต้องดูว่าศาลจะมองพฤติการณ์อย่างไร" นายวิญญัติกล่าว
    ด้านนางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานที่ปรึกษา นปช. กล่าวว่า การซักค้านพยานโจทก์ในคดีนี้มาถึงครึ่งทางแล้ว แต่ที่น่าสังเกตคือ ในกลุ่ม กปปส.มีความพยายามเรียกร้องให้แยกจำเลยโดยไม่นำมารวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน แต่ของ นปช.กลับมีการนำมารวมกันหมดเป็นคดีเดียวกัน ซึ่งบางครั้งจำเลยไม่รู้จักกัน เช่น คนที่ทำงานอยู่กับ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดงนั้น บางคนก็ไม่รู้จักกันส่วนตัว จึงตั้งข้อสังเกตว่าในคดีของ กปปส.นั้น จำเลยรู้จักกัน แต่ยังขอแยกไม่ให้นำมารวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน
    สำหรับบรรยากาศของการสืบพยานโจทก์ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนดีเอสไอในวันนี้ ในห้องพิจารณาคดีและบริเวณหน้าห้อง มีทั้งแกนนำ นปช. จำเลยร่วม ญาติและแนวร่วม นปช. ร่วมฟังการพิจารณาคดีอย่างคับคั่งเช่นเคย 
    การสืบพยานโจทก์เป็นการซักค้านโดยทีมทนายความจำเลย ซึ่งช่วงหนึ่งของการซักค้าน มีการเปิดคลิปวิดีโอการปราศรัยของนายณัฐวุฒิ จำเลยที่ 3 ขึ้นมาประกอบการซักค้านด้วย โดยเป็นคลิปที่นายณัฐวุฒิพูดทำนองว่า ถ้าคุณยึดอำนาจให้เผาไปเลยพี่น้อง ในการปราศรัยที่เขาสอยดาว จ.จันทบุรี เมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2553 ทนายความจำเลยซักพยานโจทก์เพื่อยืนยันว่าไม่ใช่การปราศรัยที่ราชประสงค์ เป็นการบอกเงื่อนไขว่าถ้าเกิดรัฐประหารขึ้น แต่หลังการปราศรัยดังกล่าวก็ไม่เกิดการรัฐประหาร แม้เกิดการรัฐประหารในปี 2557 ก็ไม่มีการเผา และเปิดคลิปที่นายณัฐวุฒิปราศรัยยุติการชุมนุมที่ราชประสงค์ เพื่อยืนยันว่าในวันดังกล่าวนายณัฐวุฒิบอกให้ประชาชนเดินทางกลับบ้าน 
    ภายหลังทนายความจำเลยได้ซักค้านพยานโจทก์เจ้าหน้าที่ดีเอสไอซึ่งทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลพยานหลักฐาน ในคณะพนักงานสอบสวน ที่เป็นพยานโจทก์ปากสุดท้ายเสร็จสิ้นแล้ว ศาลจึงกำหนดนัดพร้อมคดีนี้ในวันที่ 22 ส.ค.นี้ เวลา 09.00 น. เพื่อจะสอบถามความพร้อมของจำเลยในการนำพยานเข้าสืบต่อสู้คดี
    นายวิญญัติเปิดเผยอีกครั้งว่า หลังสืบพยานโจทก์ปากสุดท้ายเสร็จแล้ว ต่อไปจำเลยจะนำพยานเข้าสืบ ซึ่งเตรียมกันไว้ประมาณกว่า 100 ปาก โดยก่อนจะเริ่มสืบพยานจำเลย ศาลก็ได้นัดพร้อมคู่ความก่อนเพื่อบริหารจัดการเวลาในการสืบพยาน ซึ่งที่ผ่านมาได้เริ่มสืบพยานโจทก์ต่อเนื่องมา แต่ที่เวลาหลายปีก็มีพยานโจทก์ช่วงหลังที่เลื่อนเวลาการสืบพยานบ้าง โดยพยานที่อัยการนำสืบนั้นก็มีไม่ถึง 100 ปาก จากเดิมที่เคยเสนอไว้ 300 ปาก
    ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย  กลุ่มยุติธรรมภิวัฒน์ร่วมกับเครือข่ายจิตอาสาเพื่อสังคม  จัดงานเสวนาในหัวข้อ ”เสวนายุติธรรมภิวัฒน์” เพื่อให้ความรู้และสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับความยุติธรรมในสังคมไทย โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวเนื่องจากการต่อสู้ของประชาชนในการทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ โดยมีพระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว, นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.), นายประยงค์ ไชยศรี ตัวแทนกลุ่มยุติธรรมภิวัฒน์ ร่วมเสวนา
    พระพยอมกล่าวว่า ความยุติธรรมต้องเกิดจาก ธรรม โดยชอบธรรม เพื่อธรรม แต่ความยุติธรรมไทยขณะนี้อยู่ในภาวะป่วย เนื่องจากมีบางคดีที่ถูกตัดสินไปแล้วอย่างเด็ดขาด แต่เมื่อมีคนไปร้องใหม่ พร้อมค่าธรรมเนียม ศาลก็รับฟ้อง ส่งผลให้มีคดีใหม่เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องสุมกับคดีเก่า ยิ่งทำให้มีคดีเต็มไปหมด 
    “มีลูกศิษย์มาเล่าให้อาตมาฟัง วันที่มีการตัดสินคดี ฝ่ายที่ชนะคดีได้พูดในงานเลี้ยงว่า ต่อให้เป็นพระดี พระดัง สร้างบารมีแค่ไหน มันก็สู้เทคนิคทางกฎหมายของพวกเราไม่ได้” เจ้าอาวาสวัดสวนแก้วระบุ
    ด้านนายไพบูลย์กล่าวว่า ปัญหาความยุติธรรมที่ไม่เกิดขึ้น เกิดจากผู้มีอำนาจในกระบวนการยุติธรรม และตัวบทกฎหมายต่างๆ ที่เอื้อต่อผู้มีอำนาจ อาทิ กฎหมายที่ยังมีความคลุมเครือ ส่งผลให้ผู้มีอำนาจใช้เป็นเครื่องมือ รวมทั้งปัญหาความเข้มแข็งของการตรวจสอบถ่วงดุลโดยภาคประชาชน ผ่านกลไก การชุมนุม หรือการร้องทุกข์ตามกระบวนที่กำหนด แต่กระบวนการเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เราเข้าสู่เป้าหมาย กลับกลายเป็นว่า ยิ่งทำยิ่งผิดกฎหมายที่บัญญัติ ทำให้ผู้มีอำนาจนำกฎหมายเหล่านั้นมาบังคับเป็นคดีความต่อไป ซึ่งหากต้องการให้เกิดความยุติธรรม ประชาชนต้องมีอำนาจเพิ่ม โดยใช้กลไกของกฎหมาย โดยการศึกษากฎหมาย เพื่อใช้ต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งในชั้นพนักงานสอบสวน 
    นายประยงค์กล่าวว่า กฎหมายในประเทศไทยศักดิ์สิทธิ์เฉพาะกับบรรดาชาวบ้าน แต่ไม่ได้รวมถึงนักการเมืองหรือข้าราชการระดับสูงที่ทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งที่ผ่านมาภาคประชาชนกลุ่มต่างๆ ทั้งกลุ่มพันธมิตรฯ องค์กรพิทักษ์สยาม และ กปปส.  ต่างต่อสู้เพื่อความยุติธรรมมาโดยตลอด
    “ความรุนแรงที่เกิดขึ้นช่วงที่มีการชุมนุมนั้น เกิดขึ้นจากฝ่ายรัฐบาลทั้งสิ้น และการชุมนุมของพันธมิตรฯ ทำให้ประชาชนรักสถาบันพระมหากษัตริย์มากขึ้น มีความจงรักภักดีมากขึ้น และยังทำให้ประชาชนหูตาสว่าง นอกจากนี้ ข้อมูลที่พันธมิตรฯ นำเสนอต่อประชาชนนั้น ส่งผลให้ผู้ที่ทุจริตถูกลงโทษไปหลายราย และการชุมนุมครั้งนั้น ทำให้ประชาชนทราบว่าระบอบทักษิณมีอยู่จริง เช่นเดียวกับการจ้องล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์เช่นเดียวกัน” นายประยงค์กล่าว.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"