เลื่อนแจ้งข้อหา ลุ้นถกมหาเถรฯ


เพิ่มเพื่อน    

    “พงศ์พร” ทำสื่อรอเก้อ เลื่อนนัดแจ้งข้อกล่าวหา 7 วัดไร้กำหนด “เจ้าคุณเอื้อน” รับยังไม่มีข้อมูลจึงชี้แจงไม่ได้ แต่เลขาธิการฯ ชาวพุทธบอกแค่โยกงบ พศ.ก็รู้ไม่ได้โกง จับตา 20 เม.ย.ประชุม มส. 3 กรรมการที่มีชนักและผู้อำนวยการ พศ.จะร่วมหรือไม่ “ธิดา” โผล่ซัดรัฐบาลจ้องทำลาย ชี้เป็นเป้าที่สามหลังจาก “สมเด็จช่วง วัดธรรมกาย” เว็บอะลิตเติลบุดดาแฉครอบครัวเหวงเปิดหน้าตักวัดขุมข่ายทักษิณ 
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน เวลา 10.00 น. ที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) สื่อมวลชนจำนวนมากตามเฝ้ารอการทำข่าวตามกำหนดการที่ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) มาแจ้งความให้ดำเนินคดีทุจริตเงินทอนวัดในพื้นที่กรุงเทพมหานครเพิ่มเติมอีก 7 วัด หลังจากที่เมื่อวันที่ 11 เม.ย. ได้แจ้งความไปแล้ว 3 วัด 4 สำนวน โดยมีพระชั้นผู้ใหญ่ 5 รูปเกี่ยวข้อง
ต่อมา พ.ต.อ.ปัญญา กล้าประเสริฐ ผกก.(สอบสวน) กก.1 บก.ปปป. เผยว่า พ.ต.ท.พงศ์พรประสานขอเลื่อนเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษคดีเงินทอนวัดล็อต 3 ที่เหลือ เนื่องจากติดภารกิจด่วน 
      มีรายงานแจ้งว่า ผู้อำนวยการ พศ.ได้ขอเลื่อนการเข้าให้ปากคำ โดยไม่ได้กำหนดว่าเมื่อไหร่
ขณะเดียวกัน ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.ต.กมล เหรียญราชา ผบก.ปปป. ได้เดินทางเข้าพบ พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก. คาดว่าจะเป็นการหารือในเรื่องดังกล่าว โดยใช้เวลาหารือกว่า 4 ชั่วโมง ก่อนเดินทางกลับโดยไม่ให้สัมภาษณ์แต่อย่างใด
ส่วนที่วัดสามพระยาวรวิหาร สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม) เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) เจ้าคณะใหญ่หนกลาง เป็นประธานเปิดประชุมเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส ในเขตกรุงเทพมหานคร ตามมติ มส. โดยมีพระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดสามพระยาฯ กรรมการ มส. ในฐานะเจ้าคณะกรุงเทพฯ ร่วมประชุม โดยมีกำหนด 2 วัน ระหว่างวันที่ 19-20 เม.ย.
มีรายงานว่า นอกจากการประชุมประจำปีแล้ว คาดว่ายังมีการหารือกันถึงกรณีเงินทอนวัดด้วย ซึ่งน่าสนใจว่าในวันที่ 20 เม.ย.นั้น ตามกำหนดการ พ.ต.ท.พงศ์พรจะมาบรรยายเกี่ยวกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติกับงานการคณะสงฆ์ด้วย 
ทั้งนี้ พระพรหมดิลก เป็นหนึ่งในชื่อที่ถูกผู้อำนวยการ พศ.แจ้งความดำเนินคดีด้วย ทำให้มีสื่อมวลชนจำนวนมากมารอสัมภาษณ์ โดยหลังฉันเพลเสร็จในเวลา 12.25 น. พระพรหมดิลกกล่าวในเรื่องนี้ว่า ข้อมูลยังไม่มี จึงยังไม่สามารถให้สัมภาษณ์ข้อมูลอะไรได้ และหากทราบข้อมูลที่ชัดเจนแล้วก็พร้อมชี้แจง
เมื่อถามว่า ได้เตรียมข้อมูลเรื่องเกี่ยวกับโรงเรียนพระปริยัติธรรมไว้หรือยัง พระพรหมดิลกระบุว่า  โรงเรียนพระปริยัติธรรมมีอยู่แล้ว ที่วัดสามพระยาฯ เป็นสำนักเรียนที่จัดอบรม จัดสอบ สำหรับนักเรียนทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเป็นประจำทุกปี
ด้านนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการตรวจสอบทุจริตเงินอุดหนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม ซึ่งมีพระชั้นผู้ใหญ่ 5 รูปถูกกล่าวหาว่า ได้หารือกับ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกฯ แล้ว และได้สั่งการให้ พ.ต.ท.พงศ์พรดำเนินการกับข้าราชการทั้งหมด รวมถึงอดีตผู้อำนวยการ พศ.ที่เกี่ยวข้อง ตามระเบียบกฎหมายและแนวทางนโยบายที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้ไว้
ลั่นให้กระบวนยุติธรรมตัดสิน
นายสุวพันธุ์กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีพระผู้ใหญ่ 3 รูปที่เป็นกรรมการ มส.และถูกกล่าวหาต้องออกจากตำแหน่งหรือไม่นั้น เรื่องนี้ต้องแยกกัน เรื่องกระบวนการยุติธรรมก็ว่าไป เรื่องคณะสงฆ์ก็อีกเรื่อง ทั้งนี้ เจตนาของทุกคนคืออยากบำรุงพระพุทธศาสนา อะไรที่ทำให้ศาสนาเจริญรุ่งเรืองได้ รัฐบาลก็ไปทางนั้น คณะสงฆ์ก็จะเดินไปทางนั้น แต่ทุกเรื่องเมื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมก็ให้ดำเนินการไป ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับกิจการพระพุทธศาสนา เชื่อว่า มส.ต้องหารือกัน
เมื่อถามว่า ขณะนี้พระผู้ใหญ่หลายท่านไม่พอใจการทำหน้าที่ตรวจสอบของ พ.ต.ท.พงศ์พร จะทำให้การตรวจสอบมีอุปสรรคหรือไม่ นายสุวพันธุ์กล่าวว่า ต้องเข้าใจว่า พศ.ทำตามอำนาจหน้าที่ ผู้อำนวยการ พศ.ไปร้องทุกข์กล่าวโทษพระผู้ใหญ่ และผู้เกี่ยวข้องตามหนังสือของผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางที่ส่งมา ไม่ดำเนินการก็ไม่ได้ เมื่อเรื่องเข้ากระบวนการยุติธรรม กระบวนการยุติธรรมจะเป็นผู้ตอบได้ดีที่สุด ให้เป็นไปตามกฎหมาย ถ้ากฎหมายบอกว่าชอบก็ชอบ ถ้าบอกไม่ชอบก็ไม่ชอบ สังคมจะได้สบายใจ เรื่องนี้ง่ายๆ ไม่ยาก
เมื่อถามว่า หากเรื่องดังกล่าวมีพระผู้ใหญ่ทำผิดจริง ก็ไม่ละเว้นใช่หรือไม่ นายสุวพันธุ์กล่าวว่า จะให้ตอบแบบนี้ไม่ได้ ตอบได้แต่เพียงว่าทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม เป็นไปตามข้อเท็จจริง ตามพยานหลักฐาน ให้กระบวนการยุติธรรมทำหน้าที่ไป ส่วนจะมีผู้เกี่ยวข้องล็อตใหม่อีกหรือไม่ ต้องรอการสอบสวนของตำรวจ เพราะตามข้อมูลที่มียังมีการสอบสวนเหลืออยู่ แต่ไม่รู้ว่าจะมีล็อตต่อไปเมื่อไหร่ จะเป็นใครอะไรยังไงไม่ทราบรายละเอียด แต่เชื่อว่าทุกฝ่ายอยากให้ดำเนินการให้รวดเร็ว ไม่อยากให้ยืดเยื้อ เราต้องมาช่วยกัน
ถามอีกว่า กังวลหรือไม่กรณีพระผู้ใหญ่วิพากษ์วิจารณ์ผู้อำนวยการ พศ.ว่าการดำเนินการตรวจสอบเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา นายสุวพันธุ์ตอบว่า ไม่เป็นไร เป็นเรื่องการสร้างการรับรู้ ทุกฝ่ายก็ทำตามหน้าที่
นายสุวพันธุ์ยังกล่าวถึงความคืบหน้าคดีพระธัมมชโยว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ยังสืบสวนหาตัวอยู่ โดยร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ 
      ด้าน พล.อ.ฉัตรชัยยืนยันว่า เรื่องนี้ตนเอง นายสุวพันธุ์ และ พศ. ยึดแนวทางและนโยบายที่นายกฯ เคยให้สัมภาษณ์ไปแล้วว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน มีผลกระทบต่อจิตใจของประชาชน จะทำอย่างรอบคอบระมัดระวัง มีฐานข้อมูลที่ชัดเจน มองทุกมิติ โดยเชื่อว่าหากความชัดเจนออกมาแล้ว ประชาชนจะยังมั่นคงในการนับถือพระพุทธศาสนาอยู่ เพราะคนส่วนใหญ่ในประเทศไทยนับถือศาสนาพุทธ
    มีรายงานอีกว่า ในวันที่ 20 เม.ย. จะมีการประชุม มส. ซึ่งน่าจับตาว่ากรรมการ มส. 3 รูปที่ถูก พ.ต.ท.พงศ์พรแจ้งข้อกล่าวหาจะมาเข้าร่วมประชุมหรือไม่ รวมทั้งตัวของ พ.ต.ท.พงศ์พรเองจะเข้าประชุมหรือไม่
เผานายบอกแค่โยกงบ
    นายกรณ์ มีดี เลขาธิการสมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทย ชี้แจงถึงคำกล่าวหาของ พ.ต.ท.พงศ์พรในเรื่องอาบัติปาราชิกว่า เป็นการฟ้องเรื่องของการทุจริต ซึ่งการฟ้องทุจริตคือการนำงบประมาณไปใช้ส่วนตัว แต่เท่าที่ทราบ พระเถระไม่ได้นำเงินไปใช้ส่วนตัว เพียงแต่เงินนั้นถูกนำไปใช้ผิดประเภท เช่น อุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกสามัญ แต่ท่านนำมาสร้างอาคารเรียนหรือกุฏิ เป็นต้น 
“ข้อมูลที่ทราบมา แต่ยังไม่ยืนยัน 100% ว่าพระเถระที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหานั้น ได้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ พศ.ไปว่าจะนำงบมาสร้างอาคาร สร้างกุฏิ ซึ่งเจ้าหน้าที่ พศ.ก็ยืนยันว่าได้ และจะดำเนินการให้ โดยไปโยกงบอุดหนุนของโรงเรียนพระปริยัติธรรมมาให้พระเถระ โดยที่พระเถระท่านไม่ทราบว่างบมาจากส่วนใด และท่านก็ดำเนินการตามที่แจ้ง พศ.ไว้จริง โดยไม่ได้นำไปทำอย่างอื่น” นายกรณ์กล่าว
        นายกรณ์กล่าวด้วยว่า ขณะนี้คงเคลื่อนไหวอะไรลำบาก แต่ก็กำลังหารือกันว่าจะมีมาตรการอะไรออกมาหรือไม่ และเป็นห่วงกรณีผู้อำนวยการ พศ.ไปปรับอาบัติปาราชิกกล่าวหา 3 พระเถระว่าไม่สมควรเป็นกรรมการ มส. เท่ากับว่าเป็นการไปกดดันพระอำนาจของสมเด็จพระสังฆราช เนื่องจากการปลดกรรมการ มส. เป็นพระอำนาจสมเด็จพระสังฆราชเท่านั้น การทำเช่นนั้น เป็นการทำเกินหน้าที่ของผู้อำนวยการ พศ.
นายบรรจบ บรรณรุจิ ประธานสมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์ผ่านเฟซบุ๊กสมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทย เรื่องความเข้าใจเรื่องราคา 5 มาสก หรือ 1 บาท ว่าไม่ได้ต้องการให้เป็นประเด็นโต้แย้งระหว่างชาวพุทธด้วยกัน แต่ต้องการทำความเข้าใจในประเด็นที่พอทำความเข้าใจได้ในเบื้องต้นเกี่ยวกับความเข้าใจเรื่องค่าของเงินตามที่มีการพูดถึง 
    ทั้งนี้ นายบรรจบสรุปว่า 1 บาท หรือ 5 มาสก จึงเป็นน้ำหนักทองคำ ดังนั้น 1 บาทในปาราชิก ในตอนนี้ จึงเท่ากับราคาทองคำหนัก 1 บาท หรือตกราวเกือบ 20,000 บาทในไทย ซึ่งการชี้แจงไม่ได้ต้องการให้กระทบใครหรืออะไร เพียงเพื่อให้เกิดองค์ความรู้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการรักษาพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าไว้ในเชิงวิชาการ และอาจเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีความที่กำลังดำเนินการอยู่ มิฉะนั้น ชาวพุทธเราก็จะปรับพระเป็นอาบัติปาราชิกง่ายเกินไป
ดึงพระเข้าวังวน “การเมือง”
วันเดียวกัน UDD News ได้เผยแพร่ความเห็นนางธิดา ถาวรเศรษฐ ที่ปรึกษาแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ต่อกรณีการทุจริตเงินทอนวัด ว่าเป็นเรื่องใหญ่นั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องเงินทอน ถ้าจะเปรียบก็เหมือนเงินทอนคนไร้ที่พึ่ง กระทรวงพัฒนาสังคมฯ และเงินทอนกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งทั้ง 2 กระทรวง ตัวด้านหลักก็คือข้าราชการเป็นตัวตั้งเรื่อง ต้นเรื่องทำเรื่องสุดท้ายก็เป็นคนที่ได้ผลประโยชน์ แต่ถามว่าใน พศ. ทำไมเรื่องราวไม่ได้ดำเนินไปแบบเดียวกันเหมือนกระทรวงอื่นๆ 
“ดูเหมือนจะทำให้ข้าราชการใน พศ.บริสุทธิ์ผุดผ่องหรืออย่างไร ไม่พูดถึงเลยว่ามีความเกี่ยวข้องเกี่ยวโยงกันอย่างไร อย่าลืมว่าข้าราชการเป็นด้านหลัก พระตามวัดต่างๆ เป็นปลายเหตุทั้งนั้น การจัดการกับพระนั้นดูประหนึ่งเจตนาให้พระทั้ง 5 รูป ซึ่ง 3 ใน 5 รูปนั้นเป็นถึงพระราชาคณะเสียชื่อและถูกกล่าวหาไปก่อน หรือเป้านี้จะเป็นเป้าที่ 3 นับจาก สมเด็จช่วงมาวัดพระธรรมกาย แล้วก็มาพระราชาคณะทั้ง 3 รูป” นางธิดากล่าว และตั้งข้อสังเกตว่าการจะเจตนาหรือไม่ก็ตามที่เล่นงานสมเด็จพระราชาคณะทั้ง 3 รูป ดูประหนึ่งมีนัยทางการเมืองเรื่องของสงฆ์หรือไม่ 
นางธิดากล่าวอีกว่า เอาประโยชน์ประเทศชาติ  ประชาชน และพระพุทธศาสนาเป็นหลัก อย่าเอาประโยชน์ส่วนตนเป็นหลัก ถ้าเอาแก่นพุทธศาสนาเอาความถูกต้องเป็นหลักก็จะเดินหน้าไปได้ แต่ถ้าจงใจจะใช้วิธีการจัดการกำจัดประหนึ่งเป็นศัตรูคู่อาฆาตแบบฆราวาส มันจะยิ่งหนักเข้าไปอีก ซึ่งปกติในทางการเมืองเราบอกว่าอย่าใช้การทหารมาจัดการกับการเมือง ตอนนี้เรามีเรื่องการสงฆ์ คุณจะเอาการทหาร คุณจะเอาการเมือง ไปจัดการเรื่องของสงฆ์ไม่ได้ 
ขณะที่เว็บไซต์อะลิตเติลบุดดา โฮมเพจวัดไทยลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา วิเคราะห์กรณีนางธิดาว่า ได้ยกระดับขึ้นเป็นคดีการเมืองไปแล้ว เมื่อนางธิดาได้ลุกขึ้นมาชี้หน้าทหารว่าเป็นมารผจญพระสงฆ์องค์เณร ซึ่งไร้ศาสตราอาวุธในมือ โดยก่อนหน้านี้ สามีของนางธิดา คือ นพ.เหวง โตจิราการ ได้ออกมาพูดในช่วงเหตุการณ์ทหารปิดล้อมวัดพระธรรมกายว่า วัดพระธรรมกายนั้น เป็นฐานกำลังสำคัญของคนเสื้อแดง นปช. และอดีตนายกฯ ทักษิณ การพุ่งหอกเพื่อทำลายล้างพระสงฆ์ ที่ถือว่าเป็นฐานกำลังสำคัญของฝ่ายประชาธิปไตย ฝ่ายคนเสื้อแดง ฝ่าย นปช. ฝ่ายอดีตนายกฯ ทักษิณอย่างชัดแจ้ง และเมื่อได้ฟังนางธิดาพูดในวันนี้ ก็ครบครอบครัวได้ออกมายืนยันว่าวัดปากน้ำ-วัดพระธรรมกาย-วัดสระเกศ-วัดสามพระยา-วัดสัมพันธวงศ์ เป็นฐานกำลังของคนเสื้อแดง นปช. และอดีตนายกฯ ทักษิณโดยมิต้องแปล
“วิธีเอาการเมืองเข้าวัด หรือดึงวัดเข้าวังวนการเมือง จะแก้ปัญหาได้ไหม ก็ตอบว่าไม่รู้ เพราะไม่รู้ว่าทางรัฐบาลทหารจะเอาอย่างไร แต่ในกรณีที่ฝ่ายการเมืองได้อ้างพระทั้ง 5 วัดไปเป็นแนวร่วม ซึ่งยังไม่รู้เลยว่า ร่วมเป็นหรือร่วมตาย” เพจอะลิตเติลบุดดาระบุไว้.
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"