เครื่องดูดฝุ่นอบรมมาร์ค แจ็คหนาวปูด4หมื่นล้าน


เพิ่มเพื่อน    

   “ประยุทธ์” แสลงคำว่าดูด ย้ำไม่ใช่เครื่องดูดฝุ่น สวนหมัด “มาร์ค” กลับไปดูแลลูกพรรค รวมทั้งสำรวจผลงานที่ผ่านมา แจงลงพื้นที่บุรีรัมย์ไม่มี แอบพบคนตระกูลชิดชอบแน่ ลั่นตอนนี้เป็นกลาง ยังกั๊กเรื่องลงสนามการเมืองบอกยังไม่ถึงเวลา ขู่ใช้กฎหมายจัดหนัก “วัชระ-สื่อ” ปูดข่าวสี่หมื่นล้านไร้หลักฐาน “อุตตม-สนธิรัตน์” ประสานเสียงพรรครัฐบาลยังไม่สะเด็ดน้ำ
    เมื่อวันที่ 24 เม.ย. ในช่วงเช้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ระบุว่า คสช.เดินสายดูดอดีตนักการเมือง โดยใช้ตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีเป็นตัวล่อว่า "ไม่ได้ยิน ฉันไม่ใช่เครื่องดูดฝุ่น วิพากษ์วิจารณ์ไปซิ ฉันไม่สนใจอยู่แล้ว ทำงานอย่างเดียวไม่เกี่ยวกัน"
     ต่อมาในเวลา 14.15 น. พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ย้ำอีกครั้งว่า บอกแล้วว่าไม่ใช่เครื่องดูดอากาศหรือเครื่องดูดฝุ่น เพราะฉะนั้นต้องไปดูว่าข้อกล่าวหาที่ว่า คสช.หรือรัฐบาลนี้จะไปบังคับคนนั้นคนนี้ บังคับนักธุรกิจ พ่อค้า ประชาชน จะเอาอำนาจอะไรไปบังคับเขาเหล่านั้น ดังนั้นคำพูดดังกล่าวก็เป็นเรื่องของท่านเอง การที่บอกว่านักธุรกิจต้องสนับสนุนสิ่งต่างๆ ให้กับนักการเมืองและพรรคการเมืองนั้น ควรไปดูข้อกฎหมายว่าทำได้หรือไม่ เพราะถ้ากฎหมายระบุว่าทำไม่ได้ ก็ทำไม่ได้อยู่ดี เรื่องนี้ไม่ต้องไปห้ามใครเขา และเรื่องเหล่านี้ก็มีการตรวจสอบกันอยู่แล้ว
    เมื่อถามถึงกรณีเสียงวิจารณ์ คสช.และรัฐบาลจะดูดตระกูลชิดชอบมาเป็นพรรคพวกเป็นรายต่อไป พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า ไม่อยากให้ทุกคนไปใช้คำดังกล่าวตามที่นักการเมืองพูดออกมา เพราะการกล่าวว่าใครดูดใคร ต้องไปดูว่าผลงานของพรรคการเมืองของเขาที่ผ่านมาเป็นอย่างไร มีการดูแลสมาชิกพรรค ส.ส.ทุกคนมีโอกาสได้แสดงความคิดเห็นและนำความต้องการของประชาชนไปสู่การขับเคลื่อนของพรรคหรือไม่ ในขณะที่พรรคอื่นเป็นรัฐบาลหรือไม่ได้เป็น ได้ให้ความสำคัญกับสมาชิกที่เป็นลูกพรรคหรือไม่แค่ไหน หรือให้ความสำคัญไม่เพียงพอ
    "ผมเข้าใจว่านักการเมืองทุกคน อยากเข้ามาทำงานเพื่อบ้านเมือง แต่มักไปติดที่นโยบายพรรค นโยบายหัวหน้าพรรคหรือผู้สนับสนุน แต่ยืนยันว่า คสช.ไม่มีใครมีบทบาทเหนือตรงนี้ เราสามารถทำงานทุกอย่างเป็นอิสระ ดังนั้นขอให้กลับไปดูที่ผลงาน ใครจะดูดหรือถูกดูดก็เป็นเรื่องของเขา และขอให้ไปดูแลสมาชิกของท่านให้ดีที่สุด ทั้งนี้ ผมเคยฟังนักการเมืองพูดว่าการเข้ามาทำงานให้ประเทศสำหรับพรรคการเมืองที่ได้เข้ามาเป็นรัฐบาล ก็อยากทำงานให้ครบตลอด 4 ปีตามอายุรัฐบาล แต่ทำไม่ได้มากนัก ช่วง 2 ปีแรกก็เริ่มทำงานได้ดีอยู่ แต่หลังจากปีที่ 2 ไปแล้วทำไม่ค่อยได้ เพราะต้องเตรียมตัวยุบสภา เขาพูดกับผมแบบนี้เลย เพราะฉะนั้นเขาอาจต้องทำอะไรต่างๆ ตามแนวทางนโยบายของพรรคและหัวหน้าพรรค ซึ่งมันไม่ถูกต้อง” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
ย้ำต้องดูแลทุกฝ่าย
    นายกฯ กล่าวอีกว่า การเป็นรัฐบาลไม่ว่าจะมากหรือน้อย ต้องร่วมมือให้ได้ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล ต้องดูแลทั้งสองฝ่าย ประชาธิปไตยคือต้องปฏิบัติตามเสียงส่วนใหญ่ ขณะเดียวกันก็ต้องดูแลเสียงส่วนน้อย ซึ่งเป็นฝ่ายค้านด้วยว่าจะทำอย่างไรให้พื้นที่ และประชาชนในพื้นที่ของฝ่ายค้านได้ประโยชน์ด้วย ก็จะลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ รวมทั้งการกระจายรายได้ ที่ผ่านมาโทษกันไปมา ว่ารัฐบาลนี้รัฐบาลนั้นตัดงบประมาณในพื้นที่ต่างๆ ที่ไม่ใช่ของตัวเอง ซึ่งที่ผ่านมาการลงพื้นที่เดินสายหาเสียงยังทำไม่ได้เลย แล้วมันจะพัฒนาประเทศได้อย่างไร
    พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า อยากขอร้องว่ารัฐบาลหน้าไม่ว่าใครเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาลก็ต้องร่วมมือกันในกิจการที่ก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ประชาชนทั้งประเทศได้ประโยชน์ ไม่ใช่ได้ประโยชน์เฉพาะพื้นที่ที่เป็นฝ่ายรัฐบาลอย่างเดียว ทุกคนที่เข้ามาทำงานการเมือง ไม่ต้องไปกลัวอะไรทั้งสิ้น จะเลือกตั้งเมื่อไหร่มันอยู่ที่ว่าเราจะบริหารราชการแผ่นดินได้อย่างไรให้โปร่งใสเป็นธรรม ไม่เช่นนั้นก็จะซักฟอกคัดค้านอภิปรายกันไปเรื่อย เหมือนที่ผ่านมาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้สักอย่าง คสช.และรัฐบาลเข้ามาทำงานตรงนี้ไม่ใช่คู่ขัดแย้งของใคร รัฐบาลเป็นเหมือนคนกลางที่เข้ามา ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาลในอดีตที่ผ่านมา รัฐบาลนี้ก็ต้องอยู่ตรงกลาง และทำทุกอย่าง ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้านในวันข้างหน้าก็ต้องร่วมมือกันให้ได้ รัฐบาลมุ่งหวังเพียงเท่านั้น
    เมื่อถามว่า มีเสียงสะท้อนว่าหากนายกฯ จะดึงนักการเมือง ก็ควรดึงนักการเมืองที่ดีๆ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า แน่นอน แต่อะไรคือที่ว่าดีๆ ที่ดีๆ คืออะไร หลายคนอาจอยากทำความดี แต่มันทำดีไม่ได้ ท้ายที่สุดถูกนโยบายพรรค ถูกอะไรต่างๆ มันทำให้เขาต้องเปลี่ยนแปลง ปรับตัวเองก็เลยเสียไปทั้งหมด ไม่ได้รังเกียจนักการเมือง หากใครมาแสดงบทบาทว่าจะร่วมกันพัฒนาประเทศ ทำเพื่อประเทศชาติ เราจะไม่ทำการเมืองแบบเดิมๆ ก็ยินดีกับทุกคน จะมาอยู่ตรงไหนก็อยู่ไปเถอะ
    พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า หลังตั้งนายสนธยา คุณปลื้ม หัวหน้าพรรคพลังชลมาเป็นที่ปรึกษานายกฯฝ่ายการเมือง ก็ยังไม่มีการตั้งใครเพิ่ม และการตั้งนายสนธยานั้น ก็เพื่อให้ดูภาคตะวันออก เพราะเขาทำงานทางภาคตะวันออก ได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชนพอสมควร จึงให้มาเป็นที่ปรึกษาแค่นั้น ไม่ได้มุ่งหวังทางการเมืองอะไร วันนั้นบังเอิญตอบเร็วไปนิดหนึ่ง ซึ่งเรื่องการเมือง ยังไม่ได้ปรึกษาอะไรสักคำ เพราะยังไม่ได้เดินการเมืองเลย ใครจะเดินก็ว่าไป
    เมื่อถามว่า การประชุม ครม.และลงพื้นที่ จ.สุรินทร์และบุรีรัมย์ ในวันที่ 7-8 พ.ค.นี้ มีอะไรพิเศษหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เป็นการลงพื้นที่ปกติ เหมือนจังหวัดอื่นๆ ไม่มีการพบใครแบบส่วนตัวหรือพบใครในที่รโหฐาน แต่พบกันในที่ใหญ่ๆ กว้างๆ ร่วมกับประชาชนทั่วไป เพราะใครจะมารับก็ไม่ปฏิเสธ ถือเป็นเรื่องเจ้าบ้านที่ดีก็มารับเป็นธรรมดา
ลั่นยังไม่ตกลงใคร
    “ผมไม่ไปตกลงการเมืองอะไรกับใครทั้งสิ้น ผมไม่สามารถตกลงอะไรกับใคร เพราะผมยังไม่ไปสู่ตรงนั้น เป็นเรื่องของกระบวนการทางการเมือง ใครจะทำอะไรก็ทำไป แต่อย่ามาเอาผมไปเกี่ยวข้องตรงนี้” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
    ถามอีกว่า ในเดือน มิ.ย. ยังเชิญพรรคการเมืองมาหารือเพื่อกำหนดวันเลือกตั้งอยู่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตั้งแต่ มิ.ย.เป็นต้นไป จะหาโอกาสพูดคุย เขาอยากจะคุยหรือไม่ ยังไม่รู้เหมือนกัน เพราะเขาบอกจะไม่คุย แล้วจะไปคุยกับใคร คุยกับสื่อหรือ  สื่อไม่ใช่นักการเมือง แล้วไปยุ่งอะไรกับนักการเมืองเขา เมื่อเขาไม่อยากคุยก็ไม่ต้องคุย ก็แค่นั้น ทำไมต้องมากดดันรัฐบาล
    เมื่อถามว่า อึดอัดใจหรือไม่ที่มีหลายพรรคการเมืองอยากเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ คนนอกหลังเลือกตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า “รู้สึกเฉยๆ เพราะผมยังไม่ได้ตอบรับอะไรใครซักคน” เมื่อถามย้ำว่า แต่ไม่ปฏิเสธตอบรับใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์นิ่ง หยุดคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวว่า “ไม่รู้ๆ” เมื่อถามอีกว่าแนวทางของพรรคการเมืองแบบใดที่จะตัดสินใจเข้าร่วม พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า “ผมไม่ร่วมกับพรรคไหน แล้วจะไปร่วมอะไรกับใครได้ ตอนนี้ไม่รู้ตัว ผมอยู่ตรงกลาง จะเป็นอะไร จะทำอะไรก็แล้วแต่ ผมต้องอยู่ตรงกลางให้ได้ คำว่าตรงกลางคือเอาทุกคนมาร่วมกันบริหารประเทศให้ได้ ด้วยกลไกประชาธิปไตย แต่จะไปอย่างไรผมยังไม่รู้ และผมจะไปตรงนั้นได้อย่างไรก็ยังไม่รู้เหมือนกัน”
    พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงกรณีนายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรค ปชป. ระบุว่า คสช.เตรียมสืบทอดอำนาจโดยใช้เงินตั้งพรรคทหารถึง 40,000 ล้านบาท ว่า นายวัชระพูดหลายครั้งแล้ว ชอบพูดประเด็นนั้น ประเด็นนี้ว่ามีการทุจริต เสร็จแล้วก็เงียบหายไป เดี๋ยวก็กลับไปเอามาใหม่ ขอความกรุณาว่าให้ไปหาข้อมูล มาสิว่า 4 หมื่นล้านมาจากไหน เพราะไม่ใช่เงินน้อยๆ จะเอามาได้อย่างไร เอามาจากใคร แล้วใครจะให้ตั้ง 4 หมื่นล้าน แล้วจะเอาเงินจำนวนนี้ไปตั้งพรรคการเมืองหรือ เอาเงินจำนวนนี้ไปดูแลประชาชนไม่ดีกว่าหรือ ถ้าได้เงินมาขนาดนี้
    “เราต้องว่ากันด้วยหลักฐาน ผมกำลังให้ฝ่ายกฎหมายดูว่าการออกมาพูดแบบนี้มันทำให้เกิดความเสียหายอะไรหรือไม่อย่างไร รวมถึงสื่อสำนักพิมพ์ต่างๆ ที่นำมาเผยแพร่ด้วย เพราะถ้าเผยแพร่โดยไม่มีหลักฐาน ก็มี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ดูแลอยู่ ก็ขอให้ระมัดระวังกันด้วย เพราะไม่อยากให้ใครเดือดร้อน รัฐบาลไม่ได้ขู่ ไม่ได้ใช้กฎหมายไปบังคับ แต่กฎหมายมันมีอยู่แล้ว ก็ขอเตือนให้ทุกคนได้ทราบ" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
    ภายหลังนายกฯ แถลงข่าวเสร็จสิ้น นายกฯ ได้เดินออกจากโพเดียมอย่างอารมณ์ดี เมื่อผู้สื่อข่าวได้กระเซ้าว่า ดูนายกฯ แก้มตอบไป พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ไม่ได้ไปเสริมสวยแบบเธอ” แต่เมื่อผู้สื่อข่าวจึงชี้แจงว่าที่ถามว่าแก้มตอบหมายถึงการดูดนักการเมืองขณะนี้ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า จะไปดูดนักการเมืองอะไร ยังไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรคไหนเลย เมื่อถามสวนว่า แล้วนายกฯ จะเป็นหัวหน้าพรรคใดหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่รู้ และเมื่อถามอีกว่าไม่รู้แสดงว่าไม่ปฏิเสธใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวทันทีว่า ไม่แสดงตอนนี้
    มีรายงานว่า นายวัชระเตรียมแถลงชี้แจงประเด็นดังกล่าวที่พรรคในเวลา 10.30 น. วันที่ 25 เม.ย.
พรรครัฐบาลไม่คืบหน้า
    นายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม ปฏิเสธตอบคำถามเตรียมตั้งพรรคการเมือง โดยกล่าวเพียงว่า เคยให้สัมภาษณ์ไปแล้ว ขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าและความชัดเจนใดๆ และยืนยันว่าไม่มีการประสานภาคธุรกิจขอความร่วมมือไม่ให้สนับสนุนพรรคการเมืองที่มีอยู่อย่างที่วิพากษ์วิจารณ์
    นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์การดูดนักการเมืองเพื่อหวังประโยชน์ทางการเมือง ว่าข้อเท็จจริงการแต่งตั้งนายสนธยาเพื่อต้องการให้มาช่วยงานในโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษ (อีอีซี) ที่รัฐบาลมีปัญหาสื่อสารเรื่องนี้ไปสู่การรับรู้ของประชาชน ไม่เห็นว่าจะดูดนักการเมืองอย่างไร เข้ามาช่วยเราทำงาน
    เมื่อถามถึงความคืบหน้าเตรียมตั้งพรรคการเมือง นายสนธิรัตน์กล่าวว่า ยังหารือกันอยู่ มีกระบวนการหลายๆ อย่าง แต่ยังไม่คืบหน้าใดๆ ยังตอบไม่ได้ว่าสเปกคนในพรรคจะเป็นอย่างไร เพราะเป็นเรื่องที่ต้องผ่านการตกลงกันก่อน 
    ด้านนายสมคิด เชื้อคง อดีต ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกระแสการดูดนักการเมืองว่า เป็นเรื่องปกติ ใครจะโดนดูดไม่เป็นอะไร สำคัญที่นายอภิสิทธิ์อย่าโดนดูดไปด้วยก็แล้วกัน เคยพูดไม่สนับสนุนนายกฯ คนนอก ขอให้มั่นคงกับสิ่งที่พูด อย่าเปลี่ยนจุดยืน ไม่ใช่พอหลังเลือกตั้งไปแล้วเป็นอีกแบบ ขอเตือนเอาไว้ก่อนด้วยความเป็นห่วง ส่วนที่นายวัชระระบุถึงเม็ดเงิน 4 หมื่นล้านบาทนั้น ไม่ทราบ แต่กระบวนการเหล่านี้หากมีการเสนอมาหนีไม่พ้นเรื่องเงิน เรื่องตำแหน่ง เป็นเหมือนการตีตราจองล่วงหน้า 
“แปลกใจฝั่งผู้มีอำนาจมากกว่า ก่อนหน้าเคยบอกว่ารังเกียจนักการเมือง เป็นคนไม่ดี เป็นพวกโกงกิน แล้วทำไมตอนนี้พยายามให้พวกเขามาร่วมงานด้วย ที่พูดเอาไว้ก่อนยึดอำนาจในวันนั้น กับวันนี้ไม่เหมือนกันแล้ว แสดงว่าไม่ต้องการปฏิรูปการเมืองอย่างแท้จริง” นายสมคิดกล่าว
    เมื่อถามถึงพื้นที่ จ.อุบลราชธานี มีความเคลื่อนไหวอะไรที่น่าจับตาหรือไม่ นายสมคิดกล่าวว่า ได้ยินกระแสข่าวมาเหมือนกันว่า พรรคพลังประชารัฐ พรรคพลังชาติไทย และพรรคเสรีรวมไทย เริ่มไปหาผู้คน เตรียมตัวทำกิจกรรมการเมือง โดยเฉพาะพลังประชารัฐ มีการขับเคลื่อนมาก ประสานมาทางนักการเมืองชื่อดังบางคนที่เคยทำพรรคการเมืองมาก่อน แต่พวกเราไม่หวั่นไหว พรรคเพื่อไทยในฐานะแชมป์เก่า หน้าที่เราคือต้องการป้องกันแชมป์ต่อไป แม้จะเป็นเรื่องยาก. 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"