
มีคนเคยนิยามการเมืองไว้ว่า การเมืองเป็นเรื่องของการรักษาสิ่งที่ดีไว้หรือทำสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ดีขึ้นและเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ไม่ดีให้ดี หรือขจัดสิ่งที่ไม่ดีให้หมดไป
ดังนั้น การเมืองจึงมีทั้งส่วนที่ต้องรักษาและส่วนที่ต้องเปลี่ยนแปลง ส่วนคำว่าดี-ไม่ดีนั้นก็คงแล้วแต่มุมมองของคนแต่ละคน แต่ละกลุ่ม และแน่นอนว่าแล้วแต่ๆละพรรคการเมือง
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะมีมุมองเกี่ยวกับอะไรดี-ไม่ดีแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้คือความยุติธรรม ซึ่งดีก็ควรจะต้องไปด้วยกับกับความยุติธรรม นโยบายหาเสียงต่างๆของแต่ละพรรคการเมืองย่อมต้องมุ่งทำให้เกิดความยุติธรรมในสังคม
ในทางวิชาการ ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ มีวิชาหนึ่งที่เป็นวิชาบังคับสำหรับนิสิตทุกคนในระดับชั้นปีที่สอง วิชานี้ชื่อความรู้เบื้องต้นทฤษฎีการเมืองและสังคม ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับทฤษฎีความยุติธรรมที่เป็นกรอบในการกำหนดกติกาและนโยบายสาธารณะ และผมเป็นผู้รับผิดชอบสอนวิชานี้มาได้หลายปี และสอนตามประมวลรายวิชาที่มีผู้ออกแบบไว้ และผมก็สอนตามที่เขาออกแบบ
ตำราพื้นฐานเล่มหนึ่งที่ชื่อ “ปรัชญาการเมือง: ความรู้เบื้องต้นสำหรับนักศึกษาและนักการเมือง(Political Philosophy: A Beginners’ Guide for Students and Politicians ตีพิมพ์ ค.ศ. 2006) คนเขียนชื่อ อดัม สวิฟท์ (Adam Swift) สาเหตุที่เขาเขียนหนังสือเล่มนี้ นอกจากจะหวังจะให้นักศึกษาที่เริ่มต้นศึกษาปรัชญาการเมืองได้ใช้อ่านเป็นเบื้องต้นแล้ว เขายังคาดหวังให้นักการเมืองอ่านด้วย เพราะเขาเห็นว่า นักการเมืองอังกฤษเองก็ไม่ค่อยจะเข้าใจในเรื่องความยุติธรรมเท่าไรนัก และในการกำหนดนโยบายหาเสียงของพรรคของตน ก็ไม่ค่อยจะมีรากฐานที่แข็งแรงเท่าไร และในหนังสือเล่มนี้ ได้นิยามความยุติธรรมไว้อย่างง่ายๆ นั่นคือ ความยุติธรรม คือ การให้ในสิ่งที่ประชาชนควรได้ และไม่ให้สิ่งที่ประชาชนไม่ควรได้
ถ้าว่าตามนิยามนี้ หากนโยบายของพรรคการเมืองไม่ให้ในสิ่งที่ประชาชนควรได้ และดันไปให้ในสิ่งที่ไม่ควรได้ ก็ถือว่าเป็นนโยบายที่ไม่ยุติธรรม ที่นี้อะไรคือสิ่งที่ประชาชนควรหรือไม่ควรได้ ก็แล้วแต่ทฤษฎีต่างๆ แต่ไม่น่ามีทฤษฎีใดปฏิเสธว่า ความยุติธรรมคือ การให้ในสิ่งที่ประชาชนควรได้ และไม่ให้สิ่งที่ประชาชนไม่ควรได้
ปฏิเสธไม่ได้ว่า นโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองจะต้องเกี่ยวข้องกับการจัดสรรทรัพยากรหรืองบประมาณอยู่เสมอ คำถามคือ จะจัดสรรหรือแบ่งทรัพยากร-งบประมาณอย่างไรถึงจะยุติธรรม ?
ถ้าเริ่มต้นอย่างง่ายๆก็คือ แบ่งให้ทุกคนเท่าๆกัน ซึ่งฟังดูดี แต่ถ้าคิดให้ดี การแบ่งให้เท่าๆกันอาจจะเป็นการให้ในสิ่งที่ประชาชนไม่ควรได้ และไม่ให้ในสิ่งที่ควรได้ เพราะบางกรณี การให้ทุกคนเท่าๆกัน ไม่ยุติธรรม เพราะบางคนไม่ควรต้องให้ และบางคนควรต้องได้มากกว่า ไม่ใช่ได้เพียงเท่าๆคนอื่น เพราะบางคนมีความต้องการจำเป็นมากกว่าคนอื่น หรือบางคนมีอยู่แล้ว จะให้ไปทำไม
ดังนั้น การแบ่งเท่าๆกันจึงไม่จำเป็นต้องนโยบายที่เที่ยงธรรมเสมอไป
ถ้าจะแบ่งตามความจำเป็น เช่น คนจนควรได้และได้มาก ส่วนคนรวยๆแล้วไม่ควรต้องให้ ปัญหาที่ตามมาคือ จะต้องให้คนจนไปนานเท่าไร เพราะคนรวยคงไม่พอใจที่ทำมาหากินเสียภาษีเพื่อไปช่วยคนจน แต่ตัวเองไม่ได้อะไร
ถ้าจะให้คนรวย-คนจน ต่างคนต่างเลือกนโยบายที่มุ่งแต่ผลประโยชน์ของตน อาจจะลงเอยเป็นความขัดแย้งทางชนชั้นได้ในที่สุด
ในการหาทางออกจากปัญหาการเลือกนโยบายจากฐานะความเป็นอยู่ที่ของเรา มีนักคิดเขาแนะนำว่า ให้ “สมมุติว่า คุณไม่รู้ว่า คุณจะเกิดมาในครอบครัวร่ำรวยหรือยากจน ฉลาดหรือไม่ฉลาด เก่งไม่เก่งเรื่องอะไร เพศอะไร ฯลฯ นโยบายแบบไหนที่คุณคิดว่าจะให้ความยุติธรรมแก่คุณ ?”
ทำไมต้องสมมุติแบบนั้น ? คำตอบคือ ถ้าเราไม่สมมุติ เราก็มักจะเลือกนโยบายที่เป็นคุณต่อเรา คนรวยก็ไม่อยากให้เก็บภาษีมาก ในขณะที่คนจนก็อยากให้รัฐบาลนำภาษีมาอุดหนุนเจือจุนแก้ไขความยากลำบากในชีวิต
ดังนั้น การสมมุติดังกล่าว จึงคาดหวังว่า เมื่อแต่ละคนยังไม่รู้ว่าตัวเองจะเป็นยังไง แต่ละคนก็น่าจะหากติกาที่ไม่สุดโต่งและปลอดภัยสำหรับตัวเอง
ที่ว่าไม่สุดโต่งก็คือ ไม่เทไปในทางที่จะเป็นประโยชน์ต่อสถานะของตนในยามที่ตัวเองรู้แล้วว่า ตัวเองรวยหรือจน เก่งหรือไม่เก่ง คือเผื่อไว้ทั้งในกรณีที่ตัวเองจะมีความสามารถ มีความร่ำรวย และเผื่อในกรณีที่ตัวเองเกิดมาจน
ที่ว่าปลอดภัยก็คือ คนรวยหรือไม่จนอาจอยู่ดีๆเกิดตกอับขึ้นมาก็ได้ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม
กติกาหรือหลักการในการกำหนดนโยบายที่เป็นผลจากการทดลองสมมุติว่าตัวเองยังไม่รู้ว่าตัวเองจะเป็นอะไรนี้ จะนำมาซึ่งหลักการกติกาที่คนทุกคนในสถานการณ์สมมุติจะเห็นพ้องต้องกัน ได้แก่
เห็นด้วยกับนโยบายที่ให้พลเมืองทุกคนมีสิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาคในทางการเมือง เพื่อจะได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายต่างๆได้
เห็นด้วยกับนโยบายที่ให้ความเสมอภาคต่อเพศทุกเพศ เพราะหากเราไม่รู้ว่าจะเกิดเป็นเพศอะไร เพื่อความปลอดภัย เราต้องการให้ความเสมอภาคไว้ก่อน และเช่นเดียวกับเรื่องศาสนา หากเราอยู่ในสถานะของศาสนาที่เป็นคนส่วนน้อยของสังคม เราก็คงต้องการให้ได้รับการยอมรับเท่าๆกับศาสนาอื่นๆ
เห็นด้วยที่จะจ่ายภาษี เพื่อจะเอาไว้ช่วย “คนจน” ในกรณีที่เกิดมาจน รัฐบาลก็ต้องนำงบประมาณมาช่วยให้ตัวเองได้ลืมตาอ้าปาก หรือถ้ารวยแล้วตกอับยากจน ก็คาดหวังให้รัฐบาลนำงบประมาณมาช่วยให้ลืมตาอ้าปาก
เห็นด้วยที่จะไม่จะเอาภาษีไปช่วยคนที่ไม่จน
เห็นด้วยที่จะมีนโยบายที่ไม่ปิดกั้นศักยภาพความสามารถของตัวเอง หากสามารถจะรวย ก็ต้องเปิดให้รวยได้
เห็นด้วยว่า มีความไม่เสมอภาคหรือความเหลื่อมล้ำได้ แต่ต้องภายใต้เงื่อนไขที่มีการช่วยเหลือคนจนให้สามารถลืมตา อ้าปากเพื่อเข้าแข่งขันในการทำมาหากินได้
เห็นด้วยกับความไม่เสมอภาคได้ หากความไม่เสมอภาคนั้นเป็นไปเพื่อช่วยเหลือคนยากจน นั่นคือ การเก็บภาษีที่ไม่เสมอภาคกัน เช่น เก็บคนรวยมากกว่า หรือยกเว้นการเก็บภาษีกับคนที่มีรายได้น้อยมาก หรือ การยกเว้นค่าไฟค่าน้ำ และค่าอะไรต่างๆเพื่อช่วยเหลือคนจน
เห็นด้วยกับนโยบายช่วยเหลือคนจนที่มีการพัฒนาให้คนจนสามารถยกระดับขึ้นมาจากความยากจน
เห็นด้วยที่รัฐบาลจะให้งบประมาณส่งเสริมกิจการของคนรวย หรือยกเว้นภาษีให้กับกิจการของคนรวย หากกิจการของคนรวยนั้นนำมาซึ่งการจ้างงานคนจนอย่างประจำและมีจำนวนมากขึ้น ในกรณีนี้ เราสามารถทำความเข้าใจได้จากตัวอย่างดังต่อไปนี้ คือ แทนที่รัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณเป็นตัวเงินช่วยเหลือให้แก่คนจนทุกคน เช่น มีงบประมาณ 100 บาท แจกคนจน 100 คน คนจนแต่ละคนจะได้ 1 บาท ซึ่งใช้แล้วก็หมดไป แต่ถ้านำ 100 บาทไปส่งเสริมกิจการคนรวย ภายใต้เงื่อนไขที่คนรวยจะขยายกิจการและมีการจ้างงานเกิดขึ้น ทำให้คนจนมีงานประจำทำ เดือนหนึ่งอาจจะได้เงินเดือน 1 บาท แต่คนจนที่มีมีงานประจำทำนั้น จะมีเงิน 1 บาทใช้ประจำทุกเดือนตราบที่ตนทำงานให้กับกิจการนั้น
ท่านผู้อ่านน่าจะลองสมมุติตัวเองว่ายังไม่รู้ว่าเกิดมาแล้วจะเป็นอย่างไร แล้วลองมาเทียบกันดูว่าตรงกับที่กล่าวไปข้างต้นไหม ?
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ความเป็นมาของรัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 (ตอนที่ 48)
ก่อนจะเกิดรัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 หรือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2490 เรามีรัฐธรรมนูญฉบับที่ 2 คือฉบับ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 และฉบับที่ 3 คือฉบับ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 ผู้เขียนได้ชี้ให้เห็นแล้วว่า รัฐธรรมนูญฉบับที่ 2
ความเป็นมาของรัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 (ตอนที่ 47)
ก่อนจะเกิดรัฐธรรมนูฉบับที่ 4 หรือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2490 เรามีรัฐธรรมนูญฉบับที่ 2 คือฉบับ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475
เรืองไกร ร้อง กกต. สอบ นายกฯ ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยหาเสียง อบจ. ได้หรือไม่
เรืองไกร ร้อง กกต. สอบ นรม. กับ 2 รมต. เป็นผู้ช่วยหาเสียง อบจ. หรือไม่ ถือเป็น ลูกจ้าง ตาม ม. 187 ต้องพ้นตาม ม. 170(5) หรือไม่
ความเป็นมาของรัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 (ตอนที่ 46)
ก่อนจะเกิดรัฐธรรมนูฉบับที่ 4 หรือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2490 เรามีรัฐธรรมนูญฉบับที่ 2 คือฉบับ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 และฉบับที่ 3 คือฉบับ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 ผู้เขียนได้ชี้ให้เห็นแล้วว่า รัฐธรรมนูญฉบับที่ 2 ที่ใช้อยู่ระหว่าง พ.ศ. 2475-2489
‘ธนาธร’ บอก 2 เดือนหาเสียง อบจ. ได้เรียนรู้ประสบการณ์ มาสร้างพรรคที่ดีกว่าเดิม
ตัวผมเอง ตื่นเต้นมากที่จะได้ทำงานร่วมกับนายกเฮง วีระเดช ภู่พิสิฐ นายกคนใหม่ของจังหวัดลำพูน และ สจ. ของพรรคประชาชนอีก 132 คนใน 33 จังหวัด
'ส.ค.ท.' ออกโรง! ตบปาก 'ทักษิณ' บี้ขอโทษด้อยค่าครูไทย
สมาพันธ์สมาคมครูฯ ออกโรงฉะ 'ทักษิณ' ปราศรัยหาเสียงศรีสะเกษ ด้อยค่าครูไทย จี้ขอโทษทั้งประเทศ