พระราชกฤษฎีกา 1 เมษายน 2476 คือ การทำรัฐประหารเงียบหรือ ? : คำตอบอยู่ศาลรัฐธรรมนูญ (แต่สมัยนั้นยังไม่มี) (ตอนที่ 55)

 

โดยในตอนที่แล้ว ผู้เขียนได้ยกข้อความในรายงานสถานทูตที่เป็นภาษาอังกฤษต้นฉบับ ซึ่งจาก

รายงานดังกล่าว ชี้ให้เห็นว่า ทางสถานทูตอังกฤษเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของพระราชกฤษฎีกาฉบับวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 ว่าเป็นพระราชกฤษฎีกาประกาศภาวะฉุกเฉินของฝ่ายบริหาร โดยในรายงานสถานทูตใช้คำว่า  emergency decrees   ซึ่งข้อความในตัวพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวเองก็มีคำว่า “ฉุกเฉิน” อยู่ด้วย (ดูภาพประกอบ) ในขณะที่รายงานสถานทูตอังกฤษรายงานว่าเป็นการยุบสภาฯและเป็นพระราชกฤษฎีกาประกาศภาวะฉุกเฉิน โดยอัครราชทูตอังกฤษรายงานว่า

“การยุบสภาผู้แทนราษฎรครั้งนี้ ผู้นำรัฐบาลมิได้ดำเนินการเร็วเกินไป สภาแห่งนี้มิได้ตอบสนองวัตถุประสงค์ที่เป็นประโยชน์ และก็มิได้ก่อให้เกิดความเชื่อมั่นใดๆ แทบจะไม่มีคนในในบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่มีประสบการณ์ทางการเมือง……..ในระยะหลังๆ มานี้ หลวงประดิษฐ์มนูธรรมและกลุ่มผู้สนับสนุน 3-4 คนในคณะรัฐบาล เมื่อเห็นว่าฝ่ายตนเป็นเสียงข้างน้อย ก็เริ่มกระตุ้นให้เกิดการต่อต้านขึ้นในบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นผู้ที่พวกเขาเสนอแต่งตั้งเข้ามาเมื่อมีการจัดตั้งสภาแห่งนี้ พวกเขาไม่มีกลุ่มผู้สนับสนุนนอกสภา แต่ในสภาผู้แทนราษฎรมีสมาชิกประมาณ 25-30 คนจากทั้งหมด 70 คนที่พวกเขาพึ่งพาได้ ในเดือนมิถุนายนจะมีการเลือกตั้ง ซึ่งจะทำให้มีสมาชิกทั้งจากการเลือกตั้งและแต่งตั้งรวมกัน 240 คน (น่าจะผิดพลาด เพราะตัวเลขที่ถูกต้องคือ ประมาณ 140 คน/ผู้เขียน) สภาผู้แทนราษฎรก็คงจะกลายเป็นสภาฝูงชน (mob assembly) และก็ไม่เป็นที่น่าแปลกใจที่ลู่ทางเช่นนี้จะทำให้พวกหัวไม่รุนแรงเกิดความวิตกหวาดผวา ข้าพเจ้าเห็นว่าแถลงการณ์ของรัฐบาล [ที่อธิบายเรื่องการออกพระราชกฤษฎีกายุบสภา] เป็นการแถลงข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา” 

ส่วนนักวิชาการไทยคนแรกที่กล่าวชัดเจนว่า การประกาศพระราชกฤษฎีกาวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 เป็นการทำรัฐประหาร คือ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ในบทความเรื่อง  “กบฏบวรเดช การเมืองของประวัติศาสตร์ และประวัติศาสตร์ของการเมือง” วารสารธรรมศาสตร์ ปีที่ 13 ฉบับที่ 1 มีนาคม 2527 ได้ถูกนำมารวมเล่มกับบทความอื่นๆ ในหนังสือชื่อ ความคิด ความรู้ และอำนาจการเมืองในการปฏิวัติสยาม 2475, พิมพ์ครั้งที่ 1 สถาบันสยามศึกษา สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, พิมพ์ครั้งที่ 5 สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน, พ.ศ. 2560)

นครินทร์เพียงแต่กล่าวว่า การประกาศพระราชกฤษฎีกาฯเป็นการทำรัฐประหาร แต่ไม่ได้อธิบายความอะไร   หลังจากนั้น 7 ปี ในวิทยานิพนธ์ของ ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์เรื่อง รัฐประหาร 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 ได้อธิบายความไว้ 16 หน้าว่า การประกาศพระราชกฤษฎีกาฯนั้นเป็นการทำรัฐประหาร

ประเด็นการให้เหตุผลที่น่าสนใจของธำรงศักดิ์อีกส่วนหนึ่งที่ผู้เขียนได้หยิบยกขึ้นมาในตอนก่อนคือ กรณีธำรงศักดิ์กล่าวถึงการที่พระราชกฤษฎีกาฯ กำหนด ‘ให้รอการใช้บทบัญญัติต่าง ๆในรัฐธรรมนูญ ซึ่งขัดกับพระราชกฤษฎีกานี้เสีย’  และได้อ้างถึงม.จ. วรรณไวทยากร วรวรรณ ว่าพระองค์ได้วิเคราะห์ถึงมาตรารัฐธรรมนูญที่เหลือใช้จากข้อกำหนดของพระราชบัญญัติที่ให้ ‘งดใช้’  และพบว่า “รัฐธรรมนูญเกือบทุกมาตราว่า เหลือแต่มาตรา ‘ที่ไม่เป็นสาระอันสำคัญยิ่ง’  จากทั้งหมด 68 มาตรา  เหลือใช้เพียง 18 มาตรา ได้แก่ มาตราที่ 1,3,4,5,7,8,11, 12-15, 53-60  กล่าวคือ เมื่อพระราชกฤษฎีกาให้ ‘ยุบ’ สภาผู้แทนราษฎร (ในพระราชกฤษฎีกา ใช้คำว่า ปิดประชุม/ผู้เขียน) และให้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่เป็นผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติแทนด้วย ดังนั้น จึงทำให้หลักสำคัญของรัฐธรรมนูญมาตราที่ 2 ที่ว่า ‘อำนาจอธิปไตยย่อมมาจากปวงชนชาวสยาม…’ หายไป จึงย่อมทำให้มาตราอื่น ๆ ที่เกี่ยวพันกับสภาผู้แทนราษฎรและคณะรัฐมนตรีหายไปด้วย คงเหลือมาตราที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ หน้าที่ของชนชาวสยาม และในหมวดศาล ซึ่งโดยนัยของการรัฐประหารครั้งนี้ก็คือ รัฐธรรมนูญได้ถูกยกเลิกไปแล้ว”

ผู้เขียนได้เคยวิเคราะห์ถึงมาตราที่งดใช้ไว้ดังนี้

การงดหรือรอการใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราที่ว่านี้ คือ มาตรา 6 และมาตรา 36

มาตรา 6 มีความว่า “พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติโดยคำแนะนำและยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร”       

มาตรา 36 มีความว่า “บรรดาพระราชบัญญัติทั้งหลาย จะตราขึ้นเป็นกฎหมายได้แต่โดยคำแนะนำและยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร”

สาเหตุที่คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ต้องกำหนดให้มีการรอการใช้มาตรา 6 หรืองดใช้มาตรา 6 ชั่วคราว  เพราะความในข้อ 4 ในพระราชกฤษฎีกาฯขัดกับมาตรา 6

เพราะความในข้อ 4 ในพระราชกฤษฎีกาฯ กล่าวว่า “ตราบใดที่ยังไม่ได้มีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎร และยังไม่ได้เรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎรใหม่นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะได้ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติตามคำแนะนำและยินยอมของคณะรัฐมนตรี”  ซึ่งขัดกับมาตรา 6 ในรัฐธรรมนูญฯที่ว่า “พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติโดยคำแนะนำและยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร”  และมาตรา 36 ที่กำหนดไว้ว่า

บรรดาพระราชบัญญัติทั้งหลาย จะตราขึ้นเป็นกฎหมายได้แต่โดยคำแนะนำและยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร”

พูดง่ายๆคือ นัยสำคัญของความในข้อ 4 และข้อ 5 คือ การดึงอำนาจนิติบัญญัติมาไว้ที่ฝ่ายบริหารเป็นการชั่วคราวนั่นเอง                             

แต่การประกาศดึงอำนาจนิติบัญญัติโดยฝ่ายบริหารนี้ มิได้กระทำในขณะที่ยังมีการเปิดประชุมสภาฯอยู่ แต่กระทำหลังจากที่ปิดประชุมสภาฯแล้วหนึ่งวัน และการปิดประชุมสภาฯก็เป็นไปตามข้อกำหนดในมาตรา 29 ที่กำหนดไว้ว่า

“สมัยประชุมสามัญสมัยหนึ่งๆ ท่านว่ามีกำหนดเวลาเก้าสิบวัน แต่พระมหากษัตริย์จะโปรดเกล้าฯ ให้ขยายเวลาออกไปก็ได้

อนึ่งในระหว่างเวลาเก้าสิบวัน จะโปรดเกล้าฯให้ปิดประชุมก็ได้”

การประชุมสภาฯสมัยดังกล่าวได้ดำเนินมาเป็นระยะเวลาเกินเก้าสิบวันแล้วด้วย   นั่นคือ ประชุมสภาฯครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2475 จนถึงวันปิดประชุมคือวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2476  การปิดประชุมสภาฯโดยพระยามโนปกรณ์นิติธาดาจึงเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และมิได้เป็นการปิดประชุมก่อนระยะเวลาที่กำหนด

การตราพระราชกฤษฎีกาดึงอำนาจนิติบัญญัติในช่วงที่ปิดประชุมสภาฯมาไว้ที่ฝ่ายบริหาร ก่อให้เกิดคำถามตามมาว่า  ผู้รับสนองพระบรมราชโองการทั้งสิบสี่คน อันได้แก่ คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ที่กราบบังคมทูลฯ พระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสภาฯ มีอำนาจที่จะให้มีการ “รอการใช้รัฐธรรมนูญเฉพาะบางมาตรา…เป็นการชั่วคราว”  นั่นคือ รอการใช้มาตรา 6 เป็นการชั่วคราวหรือไม่ ?  ซึ่งชั่วคราวที่ว่านี้ก็คือในช่วงที่ปิดประชุมสภาฯระหว่างวันที่ 1 เมษายน – 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476  และมีอำนาจในการ “ดึงอำนาจนิติบัญญัติในช่วงที่ปิดประชุมสภาฯมาไว้ที่ฝ่ายบริหาร” หรือไม่ ?

ในทางนิติศาสตร์ การดึงอำนาจนิติบัญญัติมาไว้ที่ฝ่ายบริหารเกิดขึ้นได้นั้น จะต้องเป็นกรณีฉุกเฉินเท่านั้น ดังที่ปรากฏในพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475   ได้กำหนดไว้แล้วในมาตรา 29 ความว่า

“ถ้ามีการฉุกเฉินเกิดขึ้น ซึ่งคณะกรรมการราษฎร (ต่อมาใช้คำว่า คณะรัฐมนตรี) จะเรียกประชุมสภาราษฎรให้ทันท่วงทีมิได้ และคณะกรรมการราษฎรเห็นสมควรจะต้องออกกฎหมาย เพื่อให้เหมาะแก่การฉุกเฉินนั้น ๆ ก็ทำได้ แต่จะต้องรีบนำกฎหมายนั้นขึ้นให้สภารับรอง”

ต่อประเด็นดังกล่าวนี้ ศาสตราจารย์ ดร. นันทวัฒน์ บรมนันท์ นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญกฎหมายมหาชนได้กล่าวไว้ว่า

“พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทยและเป็นรัฐธรรมนูญที่เริ่มวางหลักการในการตราพระราชกำหนดในความหมายปัจจุบันเอาไว้ โดยกำหนดให้การ ‘ออกกฎหมาย’ พิเศษต้องมีองค์ประกอบดังนี้ คือ

ก) เกิดกรณีมีการฉุกเฉินเกิดขึ้น

ข) คณะกรรมการราษฎรไม่สามารถเรียกประชุมสภาราษฎรได้ทันท่วงทีได้ และ

ค) คณะกรรมการราษฎรเห็นสมควรจะต้องออกกฎหมายเพื่อให้เหมาะกับเหตุการณ์ฉุกเฉินที่เกิดขึ้น

เมื่อเข้าองค์ประกอบทั้ง 3 ประการ คณะกรรมการราษฎรซึ่งทำหน้าที่เป็นฝ่ายบริหารตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้สามารถออกกฎหมาย (ใช้อำนาจนิติบัญญัติแทนสภาผู้แทนราษฎร/ผู้เขียน) เพื่อการฉุกเฉินนั้นได้  แต่จะต้องรีบนำกฎหมายนั้นให้สภารับรอง                                                                                                  อย่างไรก็ดี กฎหมายเพื่อการฉุกเฉินตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แม้จะมี ‘ลักษณะ’ เป็นพระราชกำหนดตามความหมายปัจจุบัน แต่ก็มิได้มีชื่อเรียกว่าพระราชกำหนดแต่อย่างใด”

ต่อมา  รัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ก็ได้มีการบัญญัติความในลักษณะเดียวกันกับมาตรา 29 ในพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 ไว้ในมาตรา 52 ความว่า

“ในเหตุฉุกเฉินซึ่งจะเรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎรให้ทันท่วงทีมิได้ พระมหากษัตริย์จะทรงตราพระราชกำหนดให้ใช้บังคับดั่งเช่นพระราชบัญญัติก็ได้

ในคราวประชุมสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ท่านให้นำพระราชกำหนดนั้นเสนอต่อสภาเพื่ออนุมัติ ถ้าสภาอนุมัติแล้ว พระราชกำหนดนั้นก็เป็นพระราชบัญญัติต่อไป ถ้าสภาไม่อนุมัติไซร้ พระราชกำหนดนั้นเป็นอันตกไป แต่ทั้งนี้ ไม่กระทบถึงกิจการที่ได้เป็นไปในระหว่างที่ใช้พระราชกำหนดนั้น

คำอนุมัติและไม่อนุมัติของสภาที่กล่าวนี้ ท่านว่า ให้ทำเป็นพระราชบัญญัติ”

ต่อมาตรา 52 ในรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475    ศาสตราจารย์ ดร. นันทวัฒน์ บรมนันท์ได้อธิบายไว้ว่า

“รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถือเป็นรัฐธรรมนูญฉบับถาวร มีการบัญญัติถึงหลักเกณฑ์ในการตราพระราชกำหนดไว้ว่า ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉิน ซึ่งจะเรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎรให้ทันท่วงทีมิได้ และมีความจำเป็นที่จะต้องตรากฎหมาย พระมหากษัตริย์จะทรงตราพระราชกำหนดให้ใช้บังคับดั่งเช่นพระราชบัญญัติก็ได้

รัฐธรรมนูญฉบับนี้สร้างหลักเกณฑ์เพิ่มขึ้นจากพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 ตรงที่ได้มีการกำหนดให้นำพระราชกำหนดกลับมาเสนอต่อสภาเพื่ออนุมัติและได้มีการบัญญัติถึงผลของการอนุมัติและไม่อนุมัติพระราชกำหนดเอาไว้ด้วย

ดังนั้น ถ้ากลับมาที่คำถามข้างต้นที่ว่า “ผู้รับสนองพระบรมราชโองการทั้งสิบสี่คน อันได้แก่ คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ที่กราบบังคมทูลฯ พระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสภาฯ มีอำนาจที่จะให้มีการ “รอการใช้รัฐธรรมนูญเฉพาะบางมาตรา…เป็นการชั่วคราว”  นั่นคือ รอการใช้มาตรา 6 เป็นการชั่วคราวหรือไม่ ?  ซึ่งชั่วคราวที่ว่านี้ก็คือ 81 วัน นั่นคือ ระหว่างช่วงที่มีการปิดประชุมสภาฯระหว่างวันที่ 1 เมษายน – 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 (เพราะในตอนท้ายรายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2475 ได้กำหนดการประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญไว้แล้วในวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2476)    และมีอำนาจในการ “ดึงอำนาจนิติบัญญัติในช่วงที่ปิดประชุมสภาฯมาไว้ที่ฝ่ายบริหาร” หรือไม่ ?

คำตอบตามหลักนิติศาสตร์ที่ปรากฏในมาตรา 29 ในพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 และมาตรา 52 ในรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475  และคำอธิบายของศาสตราจารย์ ดร. นันทวัฒน์ บรมนันท์ คือ  คณะกรรมการราษฎร/คณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นฝ่ายบริหารสามารถดึงอำนาจนิติบัญญัติมาไว้ที่ฝ่ายบริหารในช่วงที่ปิดประชุมสภาฯ/ไม่สามารถเรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้ทันท่วงทีได้ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉิน

ต่อกรณีที่เป็นเหตุฉุกเฉิน รัฐบาลได้แถลงไว้ดังนี้

รัฐบาลขอแถลงให้ประชาชนทราบเพื่อเป็นที่เข้าใจทั่วกันในเหตุผลอันสำคัญยิ่งซึ่งบังเกิดขึ้น กระทำให้เป็นความจำเป็นที่ต้องปิดสภาผู้แทนราษฎร ตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่และรอการใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา

ในคณะรัฐมนตรี ณ บัดนี้เกิดแตกแยกกันเป็น 2 พวก มีความเห็นแตกต่างกันและไม่สามารถที่จะคล้อยตามกันได้ ความเห็นข้างน้อยนั้นปรารถนาที่จะวางนโยบายเศรษฐกิจไปในทางอันมีลักษณะเป็นคอมมิวนิสม์ ความเห็นข้างมากนั้นเห็นว่านโยบายเช่นนั้นเป็นการตรงกันข้ามแก่ขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวสยาม  และเป็นที่เห็นได้ โดยแน่นอนทีเดียวว่า นโยบายเช่นนั้นจักนำมาซึ่งความหายนะแก่ประชาราษฎร  และเป็นมหันตภัยแก่ความมั่นคงของประเทศ

ในคณะรัฐมนตรีซึ่งมีรัฐมนตรีถึง 20 คน จะหวังให้มีความเห็นเหมือนกันไปทุกสิ่งทุกอย่างเสมอไปนั้นไม่ได้ ก็จริงอยู่  แต่ว่าถ้ารัฐบาลจักดำรงอยู่ในความสามารถบริหารราชการแผ่นดินโดยเรียบร้อยแล้ว  เป็นความจำเป็นยิ่งที่รัฐมนตรีทุกคนจักต้องเป็นผู้ที่มีความเห็นไปในทางเดียวกันในนโยบายอันสำคัญๆ  ความเป็นไปของคณะรัฐมนตรีในเวลานี้เป็นภาวะอันแสนสุดจะทนทานได้  ไม่ว่าจะเป็นอยู่หรือจะเกิดขึ้นแก่บ้านเมืองใด และไม่ว่าจะมีรูปรัฐบาลเป็นอย่างไร

สมาชิกแห่งสภาผู้แทนราษฎรในเวลานี้เล่า ก็ประกอบขึ้นด้วยสมาชิกที่แต่งตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ สภานี้มีหน้าที่ในทางนิติบัญญัติ จนกว่าจะได้มีสภาใหม่โดยราษฎรเลือกตั้งสมาชิกขึ้นมา สภาซึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่แต่งตั้งขึ้นชั่วคราวเช่นนี้ หาควรไม่ที่จะเพียรวางนโยบายทางเศรษฐกิจใหม่ เป็นการเปลี่ยนแปลงของเก่าอันมีอยู่ใช้อยู่ประดุจเป็นการพลิกแผ่นดิน ส่วนสภาในเวลานี้จะอ้างว่าไม่ได้ทำหรือยังไม่ได้ทำกฎหมายอันมีลักษณะไปในทางนั้นก็จริงอยู่ แต่เป็นที่เห็นได้ชัดเจนแจ่มแจ้งว่ามีสมาชิกเป็นจำนวนมากคนมีความปรารถนาที่จะทำเช่นนั้น และมีความเลื่อมใสศรัทธาต่อรัฐมนตรีอันมีจำนวนข้างน้อยในคณะรัฐมนตรี

ความแตกต่างกันในสภา ซึ่งมีหน้าที่ในทางนิติบัญญัติกับคณะรัฐมนตรีซึ่งมีหน้าที่ในทางบริหารดั่งนี้ เป็นที่น่าอันตรายอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของประเทศ โดยกระทำให้ราชการชักช้า เกิดความแตกแยกกันในรัฐบาล ก่อให้เกิดความหวาดเสียวและความไม่แน่นอนแก่ใจประชาชนทั่วไป

ฐานะแห่งความเป็นอยู่เช่นนี้ จะปล่อยให้คงเป็นต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ความปลอดภัยของประชาชนเป็นกฎหมายอันสูงสุดไม่ว่าในบ้านเมือง และโดยคติเช่นนั้นเท่านั้นที่บังคับให้รัฐบาลต้องปิดสภาและตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่

รัฐบาลขอย้ำความข้อหนึ่งว่า  พระราชกฤษฎีกานี้ให้รอการใช้รัฐธรรมนูญเฉพาะบางมาตรา และเป็นการชั่วคราวเท่านั้น

วันที่ 1 เมษายน พุทธศักราช 2476”

คำถามที่ตามมาคือ ตามที่รัฐบาลแถลงการณ์มานั้นถือได้ว่าเป็น “เหตุฉุกเฉิน” หรือไม่ ?

การตอบคำถามนี้คงต้องอาศัยหลักรัฐศาสตร์ในการตอบ เพราะถ้าใช้ตามหลักนิติศาสตร์ ข้อความในมาตรา 29 และมาตรา 52 กล่าวเพียงว่า ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินเท่านั้น มิได้วางเกณฑ์ไว้ว่า ในสถานการณ์ใด เงื่อนไขอะไรถึงจะเข้าข่ายเป็นเหตุฉุกเฉิน เมื่อรัฐบาลพิจารณาว่า “…ความเป็นไปของคณะรัฐมนตรีในเวลานี้เป็นภาวะอันแสนสุดจะทนทานได้  ไม่ว่าจะเป็นอยู่หรือจะเกิดขึ้นแก่บ้านเมืองใด และไม่ว่าจะมีรูปรัฐบาลเป็นอย่างไร” และ “สมาชิกแห่งสภาผู้แทนราษฎรในเวลานี้เล่า ก็ประกอบขึ้นด้วยสมาชิกที่แต่งตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ สภานี้มีหน้าที่ในทางนิติบัญญัติ จนกว่าจะได้มีสภาใหม่โดยราษฎรเลือกตั้งสมาชิกขึ้นมา สภาซึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่แต่งตั้งขึ้นชั่วคราวเช่นนี้ หาควรไม่ที่จะเพียรวางนโยบายทางเศรษฐกิจใหม่ เป็นการเปลี่ยนแปลงของเก่าอันมีอยู่ใช้อยู่ประดุจเป็นการพลิกแผ่นดิน ส่วนสภาในเวลานี้จะอ้างว่าไม่ได้ทำหรือยังไม่ได้ทำกฎหมายอันมีลักษณะไปในทางนั้นก็จริงอยู่ แต่เป็นที่เห็นได้ชัดเจนแจ่มแจ้งว่ามีสมาชิกเป็นจำนวนมากคนมีความปรารถนาที่จะทำเช่นนั้น และมีความเลื่อมใสศรัทธาต่อรัฐมนตรีอันมีจำนวนข้างน้อยในคณะรัฐมนตรี

ความแตกต่างกันในสภา ซึ่งมีหน้าที่ในทางนิติบัญญัติกับคณะรัฐมนตรีซึ่งมีหน้าที่ในทางบริหารดั่งนี้ เป็นที่น่าอันตรายอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของประเทศ โดยกระทำให้ราชการชักช้า เกิดความแตกแยกกันในรัฐบาล ก่อให้เกิดความหวาดเสียวและความไม่แน่นอนแก่ใจประชาชนทั่วไป” และ “ฐานะแห่งความเป็นอยู่เช่นนี้ จะปล่อยให้คงเป็นต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ความปลอดภัยของประชาชนเป็นกฎหมายอันสูงสุดไม่ว่าในบ้านเมือง และโดยคติเช่นนั้นเท่านั้นที่บังคับให้รัฐบาลต้องปิดสภาและตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่

คำถามคือ สถานการณ์ดังกล่าวเป็นจริงหรือไม่ ?

หากจริง จะถือว่าเป็นเหตุฉุกเฉินได้หรือไม่ ?

ถ้าเป็นเหตุฉุกเฉินจริง ก็ไม่ถือว่าเป็นการทำรัฐประหาร แต่ถ้าไม่ ก็ถือว่าเป็นการทำรัฐประหาร

ใครคือผู้ตัดสิน ?

ปัญหาที่เกิดขึ้นกับพระราชกฤษฎีกาวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 ดูจะไม่ต่างจากกรณีที่ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ประกาศกฎอัยการศึกฉุกเฉินเมื่อกลางดึกของวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2567 โดยกล่าวหาว่าฝ่ายค้านมีกิจกรรม "ต่อต้านรัฐ" และครอบงำรัฐสภา และแสดงความเห็นอกเห็นใจเกาหลีเหนือ  ซึ่งรัฐธรรมนูญเกาหลีได้ให้อำนาจดังกล่าวแก่ประธานาธิบดีในมาตรา 77 ว่า “(1) เมื่อจำเป็นต้องใช้กำลังทหารเพื่อรักษาความปลอดภัยสาธารณะและความสงบเรียบร้อย  โดยการระดมกำลังทหารในยามสงคราม, ความขัดแย้งที่มีการใช้อาวุธ หรือเหตุฉุกเฉินระดับชาติที่คล้ายคลึงกัน  ประธานาธิบดีอาจประกาศกฎอัยการศึกได้ตามเงื่อนไขที่กำหนดตามกฎหมาย” แต่กำหนดการตรวจสอบถ่วงดุลไว้ใน วรรค 4 และ 5 ของมาตราเดียวกันว่า  “(4) เมื่อประธานาธิบดีได้ประกาศกฎอัยการศึกแล้ว ให้แจ้งให้รัฐสภาทราบโดยไม่ชักช้า (5) เมื่อรัฐสภาขอให้ยกเลิกกฎอัยการศึกด้วยคะแนนเสียงข้างมากของสมาชิกรัฐสภาทั้งหมด ให้ประธานาธิบดีปฏิบัติตาม”  และต่อมา เมื่อรัฐสภาได้ลงมติไม่เห็นด้วยกับการประกาศกฎอัยการศึกฉุกเฉินของประธานาธิบดี ประธานาธิบดีจึงต้องยกเลิกประกาศนั้นไปในอีกหกชั่วโมงต่อมา 

ในกรณีของพระราชกฤษฎีกาฉบับนั้น หากมีผู้เห็นว่าขัดรัฐธรรมนูญ หากมีศาลรัฐธรรมนูญในขณะนั้นนั้น ศาลรัฐธรรมนูญก็อาจจะทำหน้าที่ตัดสินชี้ขาดว่า ตกลงแล้ว การประกาศพระราชกฤษฎีกาฉบับนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ แต่เมื่อไม่มีศาลรัฐธรรมนูญ  การต่อต้านการประกาศพระราชกฤษฎีกาฉบับนั้นจึงลงเอยด้วยการทำรัฐประหารในวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476

เพียงแต่ผู้เขียนมีข้อสงสัยว่า ทำไมคณะรัฐประหารถึงต้องรอถึง 80 วัน และบรรดาบุคคลผู้นำการรัฐประหารก็อยู่ในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ของพระยามโนปรกณ์นิติธาดาด้วย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ดร.ณัฏฐ์ ชี้เกมยื้อแก้รธน. 'ปชน.-พท.' ข้ามขั้นตอน เสี่ยงขัดคำวินิจฉัยศาลรธน. ส่งตีความก็ไม่ช่วย

“ดร.ณัฏฐ์” มือกฎหมายมหาชน เผย พลิกเกมยื้อแก้ไข รธน.ฉบับ ปชน.-พท. แม้บรรจุเป็นวาระแล้ว เป็นการลักไก่ ข้ามขั้นตอน ไม่ใช่ปัญหาความขัดแย้ง แม้ส่งศาลรธน. ย่อมไม่มีอำนาจรับไว้พิจารณา

ส่อล่มแต่ไก่โห่! ประธานสั่งพักการประชุม หลังโต้กันวุ่นปมนับองค์ประชุม

การประชุมร่วมรัฐสภา เกิดความตึงเครียด เมื่อสมาชิกฝ่ายค้านโต้แย้งการตัดสินใจของประธานรัฐสภาเกี่ยวกับการนับองค์ประชุม ขณะที่สมาชิกวุฒิสภาเสนอวิธีการขานชื่อ แต่ท้ายที่สุด ประธานรัฐสภาสั่งพักการประชุม 20 นาที เพื่อให้มีการหารือร่วมกัน

จบที่ศาล!! | ห้องข่าวไทยโพสต์

เป้าหมายเดินหน้าส่งศาล รธน. วางแนวทำประชามติ กำหนดชะตารัฐธรรมนูญไทย ห้องข่าวไทยโพสต์ : วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

'ภูมิธรรม' บอกภูมิใจไทยตัดสินใจแล้วก็ต้องรับผิดชอบ หลังประกาศไม่ร่วมถกแก้รธน.

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่พรรคภูมิใจไทยระบุว่าจะเข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎรแต่ไม่ร่วมโหวตแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยอ้างว่าสุ่มเสี่ยงต่อการผิดกฎหมายเนื่องจากยังไม่มีการทำประชามตินั้น