ความเป็นมาของรัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 (ตอนที่ 57)

 

ไชยันต์ ไชยพร

ก่อนจะเกิดรัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 หรือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2490  เรามีรัฐธรรมนูญฉบับที่ 2 คือฉบับ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 และฉบับที่ 3 คือฉบับ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2489  ผู้เขียนได้ชี้ให้เห็นแล้วว่า รัฐธรรมนูญฉบับที่ 2 ที่ใช้อยู่ระหว่าง พ.ศ. 2475-2489 เป็นรัฐธรรมนูญที่นำไปสู่ระบอบคณาธิปไตยสืบทอดอำนาจโดยคณะราษฎร สาเหตุสำคัญที่ทำให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นรัฐธรรมนูญคณาธิปไตยสืบทอดอำนาจโดยคณะราษฎร ได้แก่

1. การเปิดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 มีสิทธิ์รับรองคณะรัฐมนตรีร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1

2. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 มีจำนวนเท่ากับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 ที่มาจากการเลือกตั้ง

3. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 มาจากการแต่งตั้งโดยคณะรัฐมนตรี และมีวาระอยู่ยาวตราบที่ยังบังคับใช้บทเฉพาะกาลอยู่

4. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ชุดแรกที่แต่งตั้งขึ้นในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2476 มาจากการแต่งตั้งโดยคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 ที่มาจากการทำรัฐประหาร

5. คณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 ที่มาจากการทำรัฐประหาร แต่งตั้งตัวเองและพวกพ้องซึ่งส่วนเป็นสมาชิกคณะราษฎรให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2

6. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 รับรองตัวเองให้เป็นคณะรัฐมนตรี

จาก 1-5 บรรดาสมาชิกคณะราษฎรต่างแต่งตั้งตัวเองกลับไปกลับมาหมุนเวียนกันเป็นคณะรัฐมนตรี และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 เป็นระยะเวลาถึง 13 ปี จนมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ นั่นคือ ฉบับที่ 3 เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2489

รัฐธรรมนูญฉบับที่ 3 นี้ แม้จะยกเลิกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 และให้มีสมาชิกพฤฒสภาขึ้นแทน แต่ก็ยังกำหนดให้สมาชิกพฤฒสภามีสิทธิ์ในการรับรองคณะรัฐมนตรีร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้ง  และแม้ว่าจะกำหนดให้สมาชิกพฤฒสภามาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่รัฐธรรมนูญฉบับที่ 3 นี้ได้กำหนดไว้ว่า ในช่วงแรกให้สมาชิกพฤฒสภามาจากการเลือกของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

จากสมาชิกพฤฒสภาที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เลือกขึ้นมาเป็นจำนวน 80 คน พบว่า เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 เป็นจำนวน 50 คน  และเป็นสมาชิกคณะราษฎร 56 คน

หมายความว่า กว่าครึ่ง (50/80 คน) ของสมาชิกพฤฒสภาสืบต่อมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 และกว่าครึ่ง (56/80) ของสมาชิกพฤฒสภาเป็นสมาชิกคณะราษฎร  นั่นคือ มีสมาชิกสภาพฤฒสภาที่เป็นสมาชิกคณะราษฎรเสีย 70 % ภายใต้รัฐธรรมนูญ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2489

และเมื่อเทียบกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ที่ตั้งขึ้นครั้งแรกเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2476  จำนวน 78 คน พบว่าเป็นสมาชิกคณะราษฎรเสีย 46 คน  นั่นคือ มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ที่เป็นสมาชิกคณะราษฎร 58.9 % ภายใต้รัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475

จะเห็นได้ว่า สัดส่วนของสมาชิกคณะราษฎรในสมาชิกพฤฒสภากลับเพิ่มมากขึ้นกว่าสมาชิกคณะราษฎรในสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ที่ตั้งขึ้นครั้งแรก

และคนในสมัยนั้นเรียกพฤฒสภาว่าเป็น “สภาปรีดี”

ส่วนสมาชิกพฤฒสภาที่เหลือที่ไม่เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 และไม่ได้เป็นสมาชิกคณะราษฎรมี 30 คน  ในตอนก่อนๆ ได้กล่าวถึงประวัติของสมาชิกพฤฒสภาไม่เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 และไม่ได้เป็นสมาชิกคณะราษฎรมี 30 คนไปบ้างแล้ว ได้แก่ คุณพึ่ง ศรีจันทร์   คุณแก้ว  สิงหะคเชนทร์  คุณเขียน กาญจพันธุ์ และพันโท เจือ  สฤษฎิ์ราชโยธิน คุณจินดา พันธุมจินดา (จินดา จินตเสรี) คุณจำลอง ดาวเรือง  คุณไต๋ ปาณิกบุตร คุณถวิล อุดล คุณทัน พรหมิทธิกุล มหาอำมาตย์ตรี พระยานลราชสุวัจน์  (ทองดี  นลราชสุวัจน์)  พระนิติการณ์ประสม  (สงวน  ชัยเฉนียน) คุณปพาฬ  บุญ-หลง หลวงประสิทธิ์นรกรรม              คุณประทุม  รมยานนท์     พันตำรวจเอก พระพิจารณ์พลกิจ และคุณพึ่ง ศรีจันทร์    คุณมิ่ง  เลาห์เรณู ร้อยโท  วิริยะ  วิริยะเหิรหาว และคุณสนิท  เจริญรัฐ

ต่อไปคือ คุณสุกิจ นิมมานเหมินท์ เกิดที่เชียงใหม่ในปี พ.ศ. 2549  เรียนชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนยุพราช และมาจากจบมัธยมที่โรงเรียนอัสสัมชัญ  ในปลายปี พ.ศ. 2468 ได้รับทุกจากครอบครัวไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ  สำเร็จปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยลอนดอน และได้ประกาศนียบัตรวิศวกรรมโยธาจากสถาบันแบตเตอร์ซีโพลีเทคนิค เมื่อ พ.ศ. 2473 ต่อมาอีกหนึ่งปี ได้รับปริญญาโทวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยลอนดอน  กลับมารับราชการเป็นอาจารย์สอนวิชาฟิสิกซ์และไฮโดรลิกส์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปี พ.ศ. 2476 และทำหน้าที่เป็นบรรณารักษ์ห้องสมุดและนำระบบใหม่ในการจัดการห้องสมุดมาใช้  ต่อมาเป็นเลขานุการคณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ พ.ศ. 2481 ทำหน้าที่เลขานุการจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย พ.ศ. 2483 รักษาการคณบดีคณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์แทนท่านเดิมที่ถึงแก่กรรม และเป็นหัวหน้าแผนกคณิตศาสตร์ด้วย ขณะเดียวกันเป็นอาจารย์พิเศษที่โรงเรียนนายร้อยเทคนิคทหารบกโดยไม่ขอรับค่าสอนและเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัย เมื่อสงครามมหาเอเชียบูรพาเกิดขึ้น รัฐบาลเห็นความสามารถและคุณวุฒิจึงย้ายสังกัดไปเป็นอธิบดีกรมอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ต่อมาในปี พ.ศ. 2489 ได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกพฤฒสภา

จากการสืบค้นข้อมูล ไม่พบว่าท่านศาสตราจารย์สุกิจมีความสนิทสนมอะไรเป็นพิเศษกับปรีดี พนมยงค์  การกล่าวถึงศาสตราจารย์สุกิจของปรีดี ก็เป็นในเรื่องขอให้สืบค้นศึกษาข้อมูลทางวิชาการด้านประวัติศาสตร์ และการให้พิจารณาเรื่องการแบ่งเขตเลือกตั้งในครั้งที่ท่านศาสตราจารย์สุกิจเป็นรองนายกรัฐมนตรีในช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516

การที่ท่านได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกพฤฒสภาน่าจะมาจากความรู้ความสามารถของท่านเป็นสำคัญ  ต่อไปคือ คุณไสว อินทรประชา

คุณไสวน่าจะเป็นผู้ที่สนใจการเมืองอย่างยิ่ง เพราะท่านได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการเลือกตั้งครั้งแรก และได้เป็นผู้แทนจังหวัดสวรรคโลก (สุโขทัย) ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 จนถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2480 และอีกครั้งตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 - วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2488

คุณไสวเป็นผู้แทนราษฎรที่ตั้งกระทู้ถามปรีดี พนมยงค์ในประชุมสภาผู้แทนราษฎรในปี พ.ศ. 2477 ในเรื่องเกี่ยวกับการยกท้องถิ่นนั้นเป็นรูปแบบเทศบาลมีหลักอย่างไร และเมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2476 พระยาพหลฯ นายกรัฐมนตรีขอให้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาญัตติด่วนเรื่อง “ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ เพื่อขยายและตัดถนนเชื่อมคมนาคมกรุงเทพพระมหานครกับดอนเมือง และเพื่อสร้างอนุสาวรีย์ทหารปราบกบฏ พุทธศักราช 2476” โดยเหตุผลสำคัญในการเสนอญัตตินี้คือ การตัดถนนจากสนามเป้าไปยังดอนเมืองเนื่องจากเหตุผลด้านยุทธศาสตร์ทางการทหารเพื่อควบคุมพื้นที่ดอนเมือง อีกทั้งยังต้องการพัฒนาสนามบินดอนเมืองเพื่อใช้ในเชิงพาณิชย์ ขณะที่การสร้างอนุสาวรีย์เป็นผลพลอยได้จากการตัดถนนเส้นนี้ คุณนายไสวได้ถามรัฐบาลว่า “สร้างอนุสาวรีย์นี้สำหรับทหารผู้ปราบกบฏที่ได้เสียชีวิตหรือหมายความว่าทหารทุกคนผู้ปราบกบฏ”  พระยาพหลฯ ได้ตอบว่า “ในเรื่องอนุสาวรีย์นี้ ความประสงค์เดิมเราไม่ได้คิดว่าจะสร้างเลย แต่เมื่อบังเอิญสร้างถนนเช่นนี้ก็ประจวบเหมาะ จึ่งเลยถือโอกาสสร้างอนุสสาวรีย์นี้ด้วย” (จากฐานข้อมูลสถาบันปรีดี พนมยงค์)

จากข้อมูลเท่าที่ค้นได้ขณะนี้ ยังไม่พบหลักฐานความสนิทสนมระหว่างคุณไสวกับปรีดี พนมยงค์แต่อย่างใด

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

โฆษกรัฐบาล ตีปาก อดีตสว.สมชาย วิจารณ์นายกฯอิ๊งค์ผลาญเงินไปอังกฤษ

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรณีที่นายสมชาย แสวงการ อดีตสว. เจ้าประจำออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่านายกรัฐมนตรีเดินทางไปอังกฤษไม่ได้พบกับนายกรัฐมนตรีอังกฤษและไม่มีการเชิญสื่อมวลชนไปนั้น