กว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอังกฤษจะมีที่มา ที่ไปและอำนาจหน้าที่อย่างปัจจุบัน (2)

 

ไชยันต์ ไชยพร

ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยนำตัวแบบระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญมาใช้โดยไม่เคยผ่านวิวัฒนาการมาก่อน พูดง่ายๆก็คือ เมื่อจะเปลี่ยน ก็ยกตัวแบบทั้งแท่งที่สำเร็จรูปแล้วของต่างประเทศมาใช้เลย ปัญหาจึงมีมากมาย เพราะขาดประสบการณ์จริงและความรู้ความเข้าใจบริบททางประวัติศาสตร์ที่ต่างประเทศเขาต้องค่อยๆใช้เวลาพัฒนาเปลี่ยนแปลงมาพอสมควร 

บทความหลายตอนนี้จะฉายภาพวิวัฒนาการของตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอังกฤษมาให้ผู้อ่านได้เข้าใจและเห็นภาพ และน่าจะช่วยให้เข้าใจว่า ทำไมทุกวันนี้ เราถึงมีปัญหาทางการเมืองมากมายอยู่ตลอดเวลา   ตอนที่แล้วได้กล่าวเกริ่นไว้ว่า คณะรัฐมนตรีของอังกฤษมีที่มาจากสภาที่พระมหากษัตริย์ตั้งขึ้นในศตวรรษที่สิบเอ็ดที่เรียกว่า curia regis อีกทั้งยังได้ตั้งอีกสภาหนึ่งที่เรียกว่า  magnum Concilium และได้กล่าวถึงความเป็นมาของการเกิด Magna Carta ที่ถือว่าสภาได้ต่อสู้กดดันเพื่อจำกัดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์  และได้กล่าวถึงมาตราบางมาตราใน Magna Carta ไปบ้างแล้ว คราวนี้จะขอกล่าวต่อจากตอนที่แล้ว 

มาตราที่ถือว่าเป็นสาระสำคัญทางการเมืองในปี ค.ศ. 1215 ที่เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปเกี่ยวกับการเก็บภาษีโดยต้องได้รับความเห็นชอบทั่วไป ได้แก่ มาตรา 14, 12, และ 39, 40   ซึ่งมาตรา 39 และ 40 ได้กล่าวไปในตอนที่แล้ว

มาตรา 14 ในการได้รับความยินยอมโดยทั่วไปจากอาณาจักรในการประเมิน 'ความช่วยเหลือ' - ยกเว้นในสามกรณีที่ระบุไว้ข้างต้น - หรือ 'การชดเชย'  เราจะเรียกอัครสังฆราช สังฆราช เจ้าอาวาส เอิร์ล และบารอนที่ใหญ่กว่าออกมาเป็นรายบุคคล โดการออกหนังสือเรียก สำหรับผู้ที่ถือครองที่ดินโดยตรงจากเรา เราจะออกหนังสือเรียกทั่วไปผ่านนายอำเภอและเจ้าหน้าที่อื่น ๆ ให้มาพร้อมกันในวันที่กำหนด (ซึ่งจะต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้าอย่างน้อยสี่สิบวัน) และ ณ สถานที่ที่กำหนด ในหนังสือเรียกทุกฉบับจะระบุสาเหตุของการออกหนังสือเรียกด้วย เมื่อมีการออกหนังสือเรียกแล้ว กิจการที่กำหนดไว้สำหรับวันนั้นจะต้องดำเนินต่อไปตามมติของผู้ที่อยู่ในขณะนั้น แม้ว่าผู้ที่ถูกเรียกมาจะไม่ปรากฏครบทุกคนก็ตาม

มาตรา 12 จะไม่มีการเก็บ 'เงินชดเชย' (มีศัพท์เรียกว่า scutage หมายถึง เงินหรือทรัพย์สินของมีค่าที่อัศวินจ่ายให้ขุนนางที่เขาสังกัดอยู่ เพื่อชดเชยการทำหน้าที่รับใช้ทางการทหาร ขุนนางอาจจะรับเป็นตัวเงินหรือของมีค่าอื่น ซึ่งมักจะเป็นม้า)   หรือ 'ค่าความช่วยเหลือ' (aid)  ในอาณาจักรของเราโดยไม่ได้รับความยินยอมโดยทั่วไป (general consent) เว้นแต่จะเป็นค่าไถ่ตัวของเรา (หากพระมหากษัตริย์ถูกจับเป็นเชลย)  เพื่อให้บุตรชายคนโตของเราเป็นอัศวิน  (ค่าใช้จ่ายในพระราชพิธีสถาปนาพระราชโอรสพระองค์แรกเป็นอัศวัน) และ เพื่อ (ครั้งเดียว) การแต่งงานของบุตรีคนโตของเรา (เงินค่าสินสอดที่จะต้องถวายให้แก่พระมหากษัตริย์ในพิธีเสกสมรสหรืออภิเษกสมรสของพระราชธิดาพระองค์โตของพระองค์)  เพื่อจุดประสงค์เหล่านี้ จะมีการเรียกเก็บ 'ค่าความช่วยเหลือ' ตามสมควรเท่านั้น ‘ค่าความช่วยเหลือ’ จากเมืองลอนดอนก็จะได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกัน                 

จากมาตราทั้งสี่นี้เป็นบทบัญญัติที่นำมาซึ่งหลักการสำคัญดังต่อไปนี้คือ

1. หลักการที่ประชุมสภาแห่งแผ่นดิน (national assembly) ในฐานะที่เป็นตัวแทน ที่ปรากฏในข้อความที่เกี่ยวกับการมีหนังสือเรียก อัครสังฆราช สังฆราช เจ้าอาวาส เอิร์ล และบารอนที่ใหญ่กว่า ให้มาประชุม ในมาตรา 14

2. หลักการที่จะไม่มีการเก็บภาษีหากไม่ได้รับความยินยอมจากที่ประชุม  ดังที่ปรากฏในข้อความ ความยินยอมทั่วไป (general consent) ในมาตรา 12

3. หลักการการพิจารณพิพากษาคดีความโดยคณะลูกขุน ที่ปรากฏความในมาตรา 39

4. หลักการความเที่ยงตรงในกระบวนการยุติธรรม ไม่ให้มีการซื้อขายความถูกผิด ที่ปรากฎความในมาตรา 40

Magna Carta 1215 ในศตวรรษที่ 13 ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่พระราชอำนาจถูกจำกัดและการพิทักษ์สิทธิของผู้ใต้ปกครอง  ซึ่งแนวคิดพื้นฐานบางประการดังกล่าวนี้ได้ปรากฏในกฎบัตรแห่งเสรีภาพของประเทศในสแกนดิเนเวียในศตวรรษที่ 14 ด้วย  อีกทั้งยังเป็นพื้นฐานสำหรับหลักการสำคัญในกฎหมายอังกฤษที่พัฒนาขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 14 ถึงศตวรรษที่ 17 และยังส่งต่อไปยังอเมริกาและประเทศอื่นๆ ที่ใช้ภาษาอังกฤษ โดยถ้อยคำที่ว่า 'ไม่มีใคร' และ 'ไม่มีเสรีชน' (‘to no one' และ ‘no free man')  ทำให้บทบัญญัตินี้มีความเป็นสากลซึ่งยังคงปรับใช้ในบริบทปัจจุบันได้ ส่วนมาตราอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับจารีตประเพณีศักดินาโดยเฉพาะได้ล้าสมัยไปแล้ว

การเรียกร้องกดดันพระมหากษัตริย์มาจากพวกอภิชน ผู้เขียนจึงจะขออธิบายเกี่ยวกับอภิชนและตำแหน่งหรือบรรดาศักดิ์ต่างๆของอภิชนอังกฤษดังนี้

อภิชนอังกฤษโดยทั่วไปในขณะนั้น จะมีคำเรียกว่า baron  ถ้าค้นคำว่า baron สิ่งแรกที่ผู้ค้นมักจะพบคือ คำว่า peerage ซึ่งมีความหมายรวมๆ คือ ขุนนาง หรืออภิชนที่มีบรรดาศักดิ์ ในระบบศักดินาของอังกฤษ จะมีบรรดาศักดิ์ทั้งหมด 5 ระดับไล่จากสูงลงไป ได้แก่ duke, marquess, earl, viscount และ baron แต่บรรดาศักดิ์ทั้ง 5 นี้ไม่ได้เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน ผู้เขียนจะขออธิบายโดยเริ่มจากตำแหน่ง Duke

Duke

บรรดาศักดิ์ Duke (ดยุค) เกิดขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1337  เมื่อพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่สาม (Edward III) ได้ตั้งมณฑลคอร์นวอลล์ขึ้น (the county of Cornwall) พระองค์ได้ตั้งพระราชโอรส (Edward the Black Prince)  ให้ดำรงตำแหน่ง Duke of Cornwall ต่อมา ได้มีการตั้ง Duke มณฑลต่างๆตามมา เช่น Duke of Lancaster (1351), Duke of Clarence (1362), Duke of York (1385), Duke of Gloucester (1385), Duke of Bedford (1413) และ Duke of Somerset (1443)  โดยผู้ดำรงตำแหน่ง Duke จะเป็นชายผู้สืบสายในพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายชายเท่านั้น  แต่ในปี ค.ศ. 1444 ผู้ดำรงตำแหน่ง Duke of Buckingham แม้ว่าจะเป็นชาย แต่สืบสายจากพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหญิง ถือเป็นครั้งแรกที่สืบทางสายมารดา และหลังจากการตั้ง Duke of Norfolk ในปี ค.ศ. 1483 เป็นต้นมา บรรดาศักดิ์นี้จะค่อยๆเริ่มเปิดให้ผู้ที่ไม่ใช่สมาชิกในพระบรมวงศานุวงศ์

Marquess

บรรดาศักดิ์นี้เริ่มเกิดขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1385  Robert de Vere ผู้ดำรงตำแหน่ง Earl of Oxford ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น Marquess of Dublin โดยมีลำดับสถานะอยู่ระหว่าง Duke และ Earl

Viscount

บรรดาศักดิ์นี้ตั้งขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1440 นั่นคือ แต่งตั้ง John (Lord Beaumont) ผู้ดำรงตำแหน่ง Count of Boulogne ที่เป็นตำแหน่งที่เกิดขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1436 ให้เป็น Viscount Beaumont และกำหนดให้ตำแหน่ง Viscount อยู่เหนือบารอนทั้งหมด  

Earl และ Count

Earl กับ Count มีสถานะเหมือนกัน และเทียบได้กับตำแหน่ง jarl ของสแกนดิเนเวีย ตำแหน่ง Earl เกิดขึ้นครั้งแรกในอังกฤษ ในช่วงที่พระเจ้า Canute แห่งเดนมาร์กและนอร์เวย์ปกครองเป็นกษัตริย์แห่งอังกฤษในช่วงระหว่าง ค.ศ. 1016-1035  บรรดาศักดิ์ Earl นี้ถือว่าเป็นตำแหน่งที่เก่าแก่ที่สุดของอภิชนอังกฤษ และถือว่าอยู่ในลำดับสูงสุดจนถึงปี ค.ศ. 1337 เมื่อพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่สามได้ตั้งตำแหน่ง Duke ขึ้น และเมื่อมีการตั้ง Marquess ในปี ค.ศ. 1385              

Baron

บารอน เป็นคำที่ใช้เรียกบุรุษผู้ให้สัตย์ปฏิญาณที่จะจงรักภักดีและรับใช้ผู้ที่อยู่สูงกว่าเขา โดยจะได้รับที่ดินเป็นการตอบแทน ซึ่งสามารถส่งผ่านให้ทายาทได้  กษัตริย์อังกฤษในช่วงนอร์แมน (ราชวงศ์ Normandy: 1066-1135) ได้เรียกบรรดาบารอนผู้ทรงอำนาจให้มาประชุมในสภาที่ปรึกษาของพระองค์ บารอนในช่วงแรกเริ่มจะถือที่ดินที่เป็นของเขาหรือเป็นของกษัตริย์ เมื่อมีการส่งผ่านที่ดิน ก็จะมีการส่งผ่านตำแหน่งไปด้วย

Lord

เป็นคำทั่วไปที่ใช้เรียก เจ้าชาย หรือ ผู้มีอำนาจสูงสุด หรือใช้เรียกผู้ที่มีสถานะตำแหน่งสูงกว่าในระบบศักดินา โดยเฉพาะผู้เช่าที่ในระบบศักดินาที่ถือครองที่ดินโดยตรงจากกษัตริย์  ได้แก่ บารอน

อภิชนหรือบารอนที่ออกมากดดันเรียกร้องให้พระเจ้าจอห์นยอมรับ Magna Carta ในปี ค.ศ. 1512 เป็นที่รู้จักกันในนามของ “คณะกรรมการยี่สิบห้า” (the committee of Twenty-Five) หรือ “ยี่สิบห้าบารอนแห่ง Magna Carta ค.ศ. 1215” (The Twenty-Five barons of Magna Carta, 1215)  บารอนยี่สิบห้าคนที่คือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจตามมาตรา 61 ใน Magna Carta ในการเจรจากดดันให้พระมหากษัตริย์ยอมรับ Magna Carta    จากวรรคที่สองของมาตรา 61 จะพบว่า บารอนยี่สิบห้าคนที่ว่านี้ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของเหล่าบารอนทั้งหลายในการทำหน้าที่ปกปักษ์รักษาและผลักดันให้พระมหากษัตริย์รับประกันและยืนยันต่ออภิชนยี่สิบห้าคนที่เป็นตัวแทนของอภิชนทั่วไปว่าจะให้เกิดสันติภาพและเสรีภาพทั้งปวงตามกฎบัตรนี้ (The barons shall elect twenty-five of their number to keep, and cause to be observed with all their might, the peace and liberties granted and confirmed to them by this charter.)

จะขอกล่าวถึงภูมิหลังของบารอนบางคนในยี่สิบห้าคน เช่น                       

Eustace de Vesci (1169/70-1216) lord of Alnwick ใน Northumberland และเป็นเจ้าที่ดินขนาดใหญ่ในตอนเหนือของอังกฤษ เป็นบุตรของ William de Vesci และ Burga บุตรสาวของ Robert de Stuteville lord of Cottingham (Yorks)  เขาสมรสกับ Margaret บุตรสาวนอกสมรสของ William the Lion กษัตริย์แห่งสก็อตแลนด์ Margaret เป็นลูกพี่ลูกน้องกับ Alexander II แห่งสก็อตแลนด์  Eustace ถือเป็นผู้นำสายแข็งของพวกบารอนในการต่อต้านพระเจ้าจอห์น

Robert de Ros (c. 1182-1226/7)  เป็น lord ใน Yorkshire และเป็นเจ้าที่ดินขนาดใหญ่อยู่ใจกลาง Helmsley ทาง North Riding ของ Yorkshire และ Wark-on-Tweed ใน Northumberland  เขาถือเป็นญาติกับ Eustace de Vesci จากการที่เขาแต่งงานกับ Isabella บุตรสาวนอกสมรสของ William the Lion กษัตริย์แห่งสก็อตแลนด์ เพราะภริยาของ Eustace ก็เป็นบุตรสาวนอกสมรสของ William the Lion    Richard de Percy (before 1181-1244)  Sir Richard de Percy เป็นทายาทตระกูล Percy อันเป็นตระกูลอภิชนเก่าแก่ของอังกฤษที่เป็นเจ้าของที่ดินเป็นจำนวนมากในทางตอนเหนือของอังกฤษ  และเป็นบารอนรุ่นที่ห้าของตระกูล (5th Baron Percy)

William de Mowbray (c. 1173-c. 1224) lord of Thirsk and Mowbray เจ้าที่ดินขนาดใหญ่ใน Yorkshire บริเวณตอนกลางของ Thirsk และ Lincolnshire  และเขายังดำรงตำแหน่ง the Mayor of London

Roger de Montbegon c. 1165-1226)  Lord of Hornby Castle ใน Lancashire และเป็นเจ้าของที่ดินขนาดใหญ่ใน Nottinghamshire, Lincolnshire และทาง West Riding ของ Yorkshire  เขาเป็นหนึ่งบารอนสายแข็งที่ต่อต้านพระเจ้าจอห์น                     

John FitzRobert (c. 1190-1240) lord of Warkworth Castle เป็นเจ้าของที่ดินจำนวนมาก บริเวณสองภูมิภาคของอังกฤษ จากทางตอนเหนือติดพรมแดนสก็อตแลนด์ East Anglia จนมาถึง Essex  จากการที่เป็นเจ้าที่ดินขนาดใหญ่มากนั้น ทำให้เขามีความโดดเด่นสังคมอภิชนทางเหนือพอๆกับ Eustace de Vesci, William de Mowbray และ Peter de Brus  ในปี ค.ศ. 1213 และ 1215 เขาได้เป็นนายอำเภอแห่ง Norfolk และ Suffolk

William de Forz  (1191×6-1241), ตำแหน่งตามนอร์แมนของเขา คือ count of Aumale และของอังกฤษคือ Earl of Albemarle  ที่ดินส่วนใหญ่ของเขาในอังกฤษอยู่ในบริเวณ Yorkshire, Cockermouth ใน Cumberland และใน Lincolnshire บริเวณ Barrow-on-Humber ทางตอนเหนือและเป็นเจ้าของปราสาทในทางตอนใต้ (Castle Bytham)

จะสังเกตได้ว่า อภิชนบารอนที่เป็นตัวแทนอภิชนอื่นๆในการกดดันพระมหากษัตริย์คือ อภิชนชั้นสูงที่เป็นเจ้าที่ดินขนาดใหญ่และมีเชื้อสายที่มีอำนาจอิทธิพล

น่าสังเกตเปรียบเทียบว่า ปรากฏการณ์ Magna Carta นี้ นอกจากจะเริ่มที่อังกฤษแล้ว ยังแพร่กระจายไปในแถบสแกนดิเนเวียด้วย กล่าวได้ว่าเป็นจุดตั้งต้นการจำกัดพระราชอำนาจโดยอภิชนชนชั้นสูง ที่พัฒนาไปสู่การปกครองที่เรียกว่า “ระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ” ในที่สุด

แต่ดูๆแล้ว ของไทยเราไม่เคยมีปรากฏการณ์เช่นว่านี้ นอกจากที่ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมชได้เปรียบเทียบศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแห่งกับ Magna Carta [1] แต่ปัญหาคือ Magna Carta ที่เกิดขึ้นใน ค.ศ. 1215 เป็นที่รับรู้ในอังกฤษมาตลอดตั้งแต่ ค.ศ. 1215  แต่แม้ว่าศิลาจารึกพ่อขุนรามฯจะเทียบได้กับ Magna Carta อย่างที่ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมชว่าไว้ แต่ไม่สามารถเป็นประเพณีการปกครองที่อยู่ในความทรงจำของผู้ปกครองและผู้ใต้ปกครองในแบบของอังกฤษหรือสแกนดิเนเวีย  เพราะศิลาจารึกหลักนี้เพิ่งค้นพบในสมัยรัชกาลที่สี่ และกว่า ม.ร.ว. เสนีย์จะนำมาเปรียบเทียบ ก็หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ไปแล้ว


[1] https://www.finearts.go.th/chantaburilibrary/view/54168-%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B8%87

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'ธรรมนัส' เป็นคนบ้า! โวลั่นสมัยหน้า 'กล้าธรรม' ปักหมุด 70 สส. เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

‘ธรรมนัส’ ประกาศกลางพัทยา พรรคกล้าธรรมไม่ใช่พรรคคนปกติ สมัยหน้าเอาจริงขยับ 70 สส. ปักหมุดเหนือ-อีสาน-ใต้

'โรม' ปลุก 'เพื่อไทย' อย่ายอมให้พรรคร่วมรัฐบาลขี่คอ ไม่เห็นชอบนิรโทษฯคดี 112 ฉบับปชน.

นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวบนเวทีผ่าทางตันประเทศไทยของเครือเนชั่น ระบุ การเมืองไทยยังไม่ถึงทางตัน เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา

'ชัยเกษม' มั่นใจประเทศไม่ถึงทางตัน พร้อมทำหน้าที่นายกฯ ยันสุขภาพแข็งแรงดี

นายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุเป็นหนึ่งในทางเลือกที่จะเป็นทางออกของสถานการณ์การเมืองไทยในขณะนี้ว่า เรื่องยังไม่เกิดขึ้น

'ไผ่ ลิกค์' ท้า 'รักชนก' จับผิดให้เต็มที่เลย อย่าหยุดตรวจสอบงบลงพื้นที่กำแพงเพชร

"ไผ่" ท้า "รักชนก" เปิดมาให้หมด งบ ก.เกษตรฯ ลงพื้นที่กำแพงเพชรตั้งแต่ปี 64 อยากให้ประชาชนรู้ สส.ทำงานหนักขนาดไหน ชี้ "ไอซ์" พลาดแล้ว ซัดอย่าปากว่า ตาขยิบ ไม่เคยเห็น สส.พรรคส้มคนไหน ดีลทานข้าวแบบนี้