พฤฒสภา คือ สภาปรีดี จริงหรือ ? (3)

 

ไชยันต์ ไชยพร

ก่อนจะเกิดรัฐธรรมนูฉบับที่ 4 หรือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2490  เรามีรัฐธรรมนูญฉบับที่ 2 คือฉบับ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 และฉบับที่ 3 คือฉบับ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2489  ผู้เขียนได้ชี้ให้เห็นแล้วว่า รัฐธรรมนูญฉบับที่ 2 ที่ใช้อยู่ระหว่าง พ.ศ. 2475-2489 เป็นรัฐธรรมนูญที่นำไปสู่ระบอบคณาธิปไตยสืบทอดอำนาจโดยคณะราษฎร สาเหตุสำคัญที่ทำให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นรัฐธรรมนูญคณาธิปไตยสืบทอดอำนาจโดยคณะราษฎร ได้แก่

1. การเปิดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 มีสิทธิ์รับรองคณะรัฐมนตรีร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1

2. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 มีจำนวนเท่ากับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 ที่มาจากการเลือกตั้ง

3. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 มาจากการแต่งตั้งโดยคณะรัฐมนตรี และมีวาระอยู่ยาวตราบที่ยังบังคับใช้บทเฉพาะกาลอยู่ 

4. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ชุดแรกที่แต่งตั้งขึ้นในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2476 มาจากการแต่งตั้งโดยคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 ที่มาจากการทำรัฐประหาร

5. คณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 ที่มาจากการทำรัฐประหาร แต่งตั้งตัวเองและพวกพ้องซึ่งส่วนเป็นสมาชิกคณะราษฎรให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2

6. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 รับรองตัวเองให้เป็นคณะรัฐมนตรี

จาก 1-5 บรรดาสมาชิกคณะราษฎรต่างแต่งตั้งตัวเองกลับไปกลับมาหมุนเวียนกันเป็นคณะรัฐมนตรี และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 เป็นระยะเวลาถึง 13 ปี จนมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ นั่นคือ ฉบับที่ 3 เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2489                                     

รัฐธรรมนูญฉบับที่ 3 นี้ แม้จะยกเลิกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 และให้มีสมาชิกพฤฒสภาขึ้นแทน แต่ก็ยังกำหนดให้สมาชิกพฤฒสภามีสิทธิ์ในการรับรองคณะรัฐมนตรีร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้ง  และแม้ว่าจะกำหนดให้สมาชิกพฤฒสภามาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่รัฐธรรมนูญฉบับที่ 3 นี้ได้กำหนดไว้ว่า ในช่วงแรกให้สมาชิกพฤฒสภามาจากการเลือกของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

ทีนี้ เรามาดูกันว่า สมาชิกพฤฒสภาที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เลือกขึ้นมาเป็นจำนวน 80 คนตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญเป็นใครและพวกใครบ้าง   และทำไมคนในสมัยนั้นถึงเรียกพฤฒสภาว่าเป็น “สภาปรีดี”    พฤฒสภาเต็มไปด้วยคนของปรีดีจริงหรือ ?                     

ในการตอบข้อสงสัยข้างต้น ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงภูมิหลังของสมาชิกพฤฒสภาทั้งหมด 80 ท่าน เพื่อเป็นข้อมูลในการประเมินข้อน้ำหนักความน่าเชื่อถือเกี่ยวกับการตั้งฉายา “พฤฒสภา” ว่าเป็น “สภาปรีดี” โดยไล่ไปตามลำดับตัวอักษร โดยตอนที่แล้วได้กล่าวถึงภูมิหลังของ พันตรี  หม่อมหลวงกรี  เดชาติวงศ์, เรือเอก กำลาภ  กาญจนสกุล พันโท  ก้าน จำนงภูมิเวท  (จำนง ศิวะแพทย์, ขุนจำนงภูมิเวท) และคุณแก้ว       สิงหะคเชนทร์ และพบว่ามี 2 ท่านเป็นสมาชิกพฤฒสภาฝั่งปรีดี อีก 2 ท่านไม่สามารถกล่าวได้ว่าเป็นฝั่งปรีดี

ต่อไปจะได้กล่าวถึง กาจ  เก่งระดมยิง   (หลวงกาจสงคราม [เทียน เก่งระดมยิง])

ในขณะที่ครองยศพันตรี ท่านเป็นสมาชิกคณะราษฎร สายทหารบก [1] และได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชั่วคราว (ระหว่าง  28 มิถุนายน พ.ศ. 2475 – 6 ธันวาคม พ.ศ. 2476)  [2] และเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ตั้งแต่เดือนธันวาคม พ.ศ. 2476 ต่อมาขณะครองยศนาวาอากาศเอก ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี (ลอย) ในคณะรัฐมนตรีคณะที่ 9 ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2481 ที่มีพันเอก หลวงพิบูลสงคราม (แปลก พิบูลสงคราม) เป็นนายกรัฐมนตรี และได้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังในคณะรัฐมนตรี คณะที่ 10 ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2485 ที่มีจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ได้ลาออกเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2486

แม้ว่าจะมีการกล่าวว่า “ในเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่สอง หลวงกาจสงครามเป็น คนหนึ่งในคณะเสรีไทยโดยร่วมมือกับนายปรีดี พนมยงค์ ในการตั้งขบวนการต่อต้านญี่ปุ่น โดยยอมลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2486 เป็นตัวแทนเสรีไทยเดินทางไปประเทศจีน และเมื่อสงครามยุติแล้วหลวงกาจสงครามก็ร่วมกับนายปรีดี พนมยงค์ ก่อตั้งพรรคสหชีพ ซึ่งเป็นพรรคที่ก้าวหน้าที่มีนโยบายเป็นประชาธิปไตยของฝ่ายพลเรือนในขณะนั้น” แต่ในข้อเขียนของปรีดี พนมยงค์ ได้กล่าวไว้ว่า

ขณะที่ข้าพเจ้าปรึกษากับ ม.ล.กรีฯ อยู่เกือบ 24.00 น. ของวันที่ 8 ธ.ค. นั้น นาวาอากาศเอก กาจ เก่งระดมยิง (หลวงกาจสงคราม) ได้มาที่บ้านข้าพเจ้าขอพบเป็นการด่วน ข้าพเจ้าจึงให้ ม.ล.กรีฯ หลบอยู่ในห้องหนึ่ง แล้วข้าพเจ้าก็พบกับ น.อ.อ.กาจฯ ซึ่งเป็นผู้ก่อการฯ 24 มิถุนายน น.อ.อ.กาจฯ กราบข้าพเจ้าแล้วกล่าวว่าเขามองไม่เห็นใครแล้วที่จะช่วยชาติได้ เขาขอปฏิญาณว่าจะซื่อสัตย์ต่อข้าพเจ้าและขอปฏิบัติตามคำสั่งของข้าพเจ้าที่จะกอบกู้เอกราชของชาติไทย ครั้นแล้วเขาได้เสนอว่าเขาพร้อมแล้วที่จะใช้ทหาร 1 กองร้อยนำข้าพเจ้ากับเขาและเพื่อนที่ไว้ใจได้ออกเดินทางจากกาญจนบุรีเข้าไปในเขตพม่าของอังกฤษสมัยนั้น เพื่อจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นต่อต้านญี่ปุ่น เขาหวังว่ารัฐบาลอังกฤษคงให้ความสนับสนุน ข้าพเจ้ากล่าวขอบใจ น.อ.อ.กาจฯ แล้วชี้แจงกับเขาว่า การที่จะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในพม่านั้นยังไม่ถึงเวลา เพราะเราอาจจะตั้งรัฐบาลต่อต้านญี่ปุ่นได้ในดินแดนของเราเองโดยเฉพาะในภาคเหนือหรือภาคอีสาน แต่ภาคเหนือนั้นเหมาะกว่าเพราะจะได้หลังยันกับพม่าของอังกฤษสมัยนั้น อีกทั้ง น.อ.อ.กาจฯ ก็เป็นคนเชียงใหม่ คงจะช่วยแผนการณ์นั้นได้” [3]

จากข้อความที่เน้นตัวหนาข้างต้น แสดงให้เห็นว่าปรีดี พนมยงค์ไม่ได้มีความไว้วางใจต่อ น.อ.อ.กาจ เท่ากับหม่อมหลวงกรี เดชาติวงศ์ อีกทั้งต่อมา น.อ.อ. กาจ ได้เข้าร่วมกับคณะรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์และกลุ่มการเมืองของปรีดี พนมยงค์เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490  โดยคณะรัฐประหารประกอบได้ทหารสี่กลุ่ม และหัวหน้าคณะนายทหารหนึ่งในสี่สาย คือ นาวาอากาศเอก กาจ กาจสงคราม [4]  อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ. 2493 ในขณะที่ดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารบก ภายใต้รัฐบาลที่มีจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี พลโทกาจได้ถูกจี้และบังคับให้เดินทางออกนอกประเทศ [5]            

จากข้อมูลข้างต้น ไม่สามารถกล่าวได้ว่า การที่พลโท (ยศสุดท้าย) กาจ กาจสงคราม ได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกพฤฒสภาในปี พ.ศ. 2489 มีส่วนทำให้พฤฒสภาเป็น “สภาปรีดี”

ต่อไปจะขอกล่าวถึง พลเรือตรี กระแส  ประวาหะนาวิน  สรยุทธเสนี ไม่ปรากฏชื่อว่าท่านเป็นสมาชิกคณะราษฎร  [6]  แต่ “พลเรือตรี พระยาศรยุทธเสนี หรือ กระแส ประวาหะนาวิน เป็นนายทหารเรือที่รับราชการในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองได้เข้าร่วมกับคณะราษฎรในวันที่อภิวัฒน์สยามโดยการชักชวนของปรีดี พนมยงค์ และต่อมาได้เป็นหนึ่งในผู้แทนราษฎรชั่วคราว 70 คนแรก ของรัฐบาลคณะราษฎร ในหนังสืออนุสรณ์งานศพของพลเรือตรี พระยาศรยุทธเสนี เล่าถึงวันที่อภิวัฒน์สยาม  การได้สนทนากับปรีดี พนมยงค์ เรื่องปฐมรัฐธรรมนูญอย่างตรงไปตรงมา ละเอียดทั้งในแง่วันเวลา ฤกษ์ยาม และมีชีวิตชีวา ที่สำคัญ คือ ท่านเป็นผู้นัดวัน และเวลาให้คณะราษฎรได้เข้าเฝ้าพระปกเกล้าเพื่อถวายธรรมนูญการปกครองฯ” [7] ซี่งตรงกับฐานข้อมูลสถาบันพระปกเกล้าที่ว่า  “ภายหลังจากที่คณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง หรือ ‘คณะราษฎร’ ได้ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยแล้ว ในวันที่ 25 มิถุนายน 2475 ผู้แทนคณะราษฎรประกอบด้วย พลเรือตรี ศรยุทธเสนี, พันเอก พะยาฤทธิอัคเนย์, พันเอก พระยาทรงสุรเดช, พันโท พระประศาสน์พิทยายุทธ, พันตรี หลวงวีระโยธิน, หลวงประดิษฐ์มนูธรรม, ร้อยโท ประยูร ภมรมนตรี, นายประยูร ณ บางช้าง ได้เข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อกราบบังคมทูลขอพระกรุณาอภัยในการกระทำของคณะราษฎร และนำร่างพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผนดินสยาม พุทธศักราช 2475 และร่างพระราชกำหนดนิรโทษกรรมขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย” [8]

แม้ว่าจะไม่ได้เป็นสมาชิกคณะราษฎรและข้องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่ท่านน่าจะไม่เห็นต่างจากคณะราษฎรในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากที่ท่านได้บันทึกไว้เองว่า “ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งนี้ ข้าพเจ้าไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยเลย เป็นเพียงทราบแว่วๆว่า มีนายทหารทั้งบกเรือและอื่นๆ มีการประชุมลับกันเปลี่ยนที่ประชุมอยู่เสมอ...พอย่ำรุ่งเศษ นายวนิช ปานะนนท์ น้องชายนายทองดีขับรถไปตามข้าพเจ้าบอกว่า เขามีการยึดการปกครองขึ้นแล้วให้รับกลับ...ยังไม่ทันกลับกรมเสนาธิการ..ร.อ. หลวงศุภชลาสัยและนายวนิช ปานะนนท์ มาขอเชิญไปพบเจ้าคุณพหลฯ…ไปพบหลวงประดิษฐ์มนูธรรมที่นั่นด้วย และส่งประกาศของคณะราษฎร์ ซึ่งพิมพ์แจกไปยังสถานที่ต่างๆให้อ่าน ข้าพเจ้าพยายามอ่านอย่างพินิจพิเคราะห์ เสร็จแล้ว หลวงประดิษฐ์มนูธรรมถามข้าพเจ้าว่า ถ้าเจ้าคุณเห็นด้วย ใคร่จะขอเชิญให้นำคณะผู้ก่อการณ์จำนวนหนึ่งไปเฝ้าในหลวงเพื่อขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ ข้าพเจ้าขออ่านรัฐธรรมนูญชั่วคราวก่อน อ่านเฉพาะคำปรารภและหัวข้ออื่นๆ พอเลาๆ ก็เห็นว่าเป็นหลักการปกครองที่ต่างประเทศส่วนมากเขามีอยู่ เพราะข้าพเจ้าเคยไปต่างประเทศหลายครั้ง เคยสนใจซื้อหลักปกครองบางประเทศมาอ่าน เมื่ออ่านพอสมควรแล้วก็ตอบว่าจะให้ไปเฝ้าเมื่อใดและมีใครบ้าง เมื่อทราบชื่อผู้ที่จะไปแล้วก็นัดวันเวลาจะไปเฝ้า” [9]

ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชั่วคราว และทำหน้าที่เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร  ต่อมาได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2  และได้ดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร ( 26 กุมภาพันธ์ 2476 – 22 กันยายน 2477) ต่อมาในเดือนกันยายน พ.ศ. 2477 นั้น ท่านได้เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐการในคณะรัฐมนตรีคณะที่ 6 ที่มีพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นนายกรัฐมนตรี  และได้เป็นประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้งระหว่าง 6 กรกฎาคม 2486 – 24 มิถุนายน 2487 การที่ท่านได้รับเลือกให้เป็นประธานรัฐสภาและสภาผู้แทนราษฎรครั้งนี้ มีข้อมูลกล่าวไว้ด้วยว่า “เชื่อกันว่าท่านถูกทางหลวงพิบูลฯ สนับสนุนให้เข้ามา....เมื่อแรงหนุนรัฐบาลของหลวงพิบูลฯอ่อนลง ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2487 สภาฯจึงเลือกพระยามานวราชเสวีกลับมาเป็นประธานสภาฯอีกครั้ง” [10]

หลังจากที่ได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกพฤฒสภา ท่านได้ทำหน้าที่เป็นประธานรัฐสภาและประธานพฤฒสภาระหว่าง 31 สิงหาคม 2489 – 9 พฤษภาคม 2490 ระหว่าง 15 พฤษภาคม 2490 – จนถึงวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ที่เกิดการรัฐประหารขึ้น

หลังจากวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2491 พลเรือตรี กระแส  ประวาหะนาวิน  สรยุทธเสนี ได้ตั้งพรรคกสิกรขึ้น โดยมีแนวนโยบายสนับสนุนกลุ่มผู้ประกอบอาชีพกสิกรเป็นสำคัญ ซึ่งต่างจากพรรคการเมืองอื่น ๆ ที่จัดตั้งขึ้นในเวลาเดียวกัน อย่างพรรคกสิกรรมกร พรรคสหพรรค และพรรคชาติสังคมประชาธิปไตย ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่ประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ให้การสนับสนุนจอมพล ป. พิบูลสงคราม และตั้งพรรคขึ้นเพื่อสนับสนุนรัฐบาลอย่างชัดเจน ในขณะที่ พรรคกสิกร นั้น ก่อตั้งขึ้นโดยสมาชิกนักการเมืองที่ต้องการเข้าร่วมการลงสมัครรับเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นเป็นสำคัญ  แม้ว่าการตั้งพรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นในช่วงเวลานี้ จะมีบทบาทสำคัญในการส่งผู้สมัครของพรรคลงแข่งขันในการเลือกตั้งทั่วไป แต่การจัดตั้งพรรคการดังกล่าวก็ไม่มีการจดทะเบียนจัดตั้งอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด แต่ในที่สุดพรรคการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว ก็ต้องยุติบทบาททางการเมืองลงโดยสิ้นเชิง เมื่อเกิด “การรัฐประหารเงียบ” ในวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 ซึ่งมีการประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 และนำเอารัฐธรรมนูญ ฉบับวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 มาประกาศใช้อีกครั้ง ในขณะเดียวกันก็มีการประกาศห้ามชุมนุมทางการเมือง จึงส่งผลให้พรรคการเมืองที่ก่อตั้งขึ้นในช่วงก่อนหน้าที่ทั้งหมด ไม่สามารถเคลื่อนไหวดำเนินกิจกรรมและแสดงบทบาทในฐานะพรรคการเมืองได้อีก” [11] และหลังจากนั้น ท่านไม่ได้มีบทบาททางการเมืองอีก

ที่น่าสนใจคือ หนังสือพิมพ์ได้รายงานถึงช่วงที่หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) ต้องเดินทางออกไปฝรั่งเศสในช่วงหลังประกาศพระราชกฤษฎีกาวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 และประกาศพระราชบัญญัติว่าด้วยคอมมิวนิสต์ พ.ศ. 2476  โดยคณะรัฐมนตรีที่ไปส่งได้แก่ พระยาพหลฯ พระยาฤทธิอัคเนย์ พระยามานวราชเสวี พระประศาสน์พิทยายุทธ หลวงศุภชลาศัย รวมทั้งพระยาศรยุทธเสนี [12]

จากที่กล่าวมาข้างต้น แม้จะไม่มีข้อมูลที่กล่าวชัดเจนถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระยาศรยุทธเสนีกับปรีดี พนมยงค์ และการได้เป็นประธานรัฐสภาและสภาฯระหว่าง พ.ศ. 2486-2487 อาจจะมาจากการสนับสนุนของจอมพล ป. พิบูลสงคราม แต่การที่ท่านได้ไปร่วมส่งหลวงประดิษฐ์ฯไปฝรั่งเศสในยามที่หลวงประดิษฐ์ฯอยู่ในสถานะลำบาก และการได้ดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภาและประธานพฤฒสภาในช่วงรอยต่อรัฐบาลปรีดี พนมยงค์กับรัฐบาลพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รวมทั้งการตั้งพรรคกสิกรและแนวทางของพรรคกสิกร พอจะกล่าวได้ว่า แม้ท่านจะไม่ได้เป็นพวกปรีดีให้เห็นเต็มตัว แต่ก็น่าจะมีแนวโน้มที่จะอยู่ในฝั่งปรีดีมากกว่าฝั่งอื่นๆ ซึ่งการสรุปดังกล่าวนี้ย่อมสามารถถกเถียงได้                  


[1] สมาชิกคณะราษฎร สายทหารบก,  ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์, “คณะราษฎร” ผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475,  https://pridi.or.th/th/content/2023/06/1563

[2] พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475  ตามความในมาตรา 10 ได้บัญญัติให้คณะผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารจัดตั้งผู้แทนราษฎรชั่วคราวเป็นจำนวน 70 นาย เป็นสมาชิกในสภาจนกว่าสมาชิกในสมัยที่ 2 จะเข้ารับตำแหน่ง

[3] ปรีดี พนมยงค์, การก่อตั้งขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นและเสรีไทย ตอนที่ 2 ส่วนที่ 4 ฐานข้อมูลสถาบันปรีดี พนมยงค์ https://pridi.or.th/th/content/2022/08/1195

[4] สุชิน ตันติกุล, 4 กลุ่มผู้ก่อการ รัฐประหาร 2490, สถาบันปรีดี พนมยงค์

https://pridi.or.th/th/content/2021/02/594

[5] “เมื่อ รอง ผบ.ทบ. ถูกจี้กลางทำเนียบรัฐบาล โดนปืนจ่อแล้วบอก ‘…ขอจับท่านบัดนี้’” https://www.silpa-mag.com/history/article_26186

[6] ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์, “คณะราษฎร” ผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475,  https://pridi.or.th/th/content/2023/06/1563

[7] วัลยา,   “ปฐมรัฐธรรมนูญ 27 มิถุนายน 2475 : การถวายธรรมนูญฯ ของคณะราษฎรต่อพระปกเกล้าฯ” https://pridi.or.th/th/content/2022/06/1151 

[8] http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=พระยาศรยุทธเสนี

[9] อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลเรือตรี พระยาศรยุทธเสนี (กระแส ประวาหะนาวิน) ณ วัดตรีทศเทพ กรุงเทพฯ วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม 2526, หน้า น.

[10] นรนิติ เศรษฐบุตร, คนการเมือง เล่ม 4, (กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า: 2561),  หน้า 124.

[11] นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ และ นิยม รัฐอมฤต, กสิกร (พ.ศ. 2549),  ฐานข้อมูลสถาบันพระปกเกล้า

https://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A3_(%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2549)

[12] อาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ, ความรับรู้เรื่องมหาตมะ คานธี ในสังคมไทย และการเปรียบเปรยปรีดี พนมยงค์ กับนักต่อสู้ชาวอินเดีย,  สถาบันปรีดี พนมยงค์, https://pridi.or.th/th/content/2023/06/1593

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

1ส.ค.ชี้ชะตา”พิเชษฐ์” ภัณฑิล-ผู้ร้องศาลรธน.ย้ำ ทำแบบย่ามใจ-ไม่เกรงกลัว

คดีที่อยู่ในการพิจารณาของ”ศาลรัฐธรรมนูญ”อีกหนึ่งคดีที่น่าสนใจนอกเหนือจากคดีสมาชิกวุฒิสภายื่นคำร้องถอดถอนนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร

งงหมอชั้น14ไม่ได้รางวัล

"ทักษิณ" ไม่เข้าใจ ทำไมหมอรักษาคนหายไม่ได้รางวัล หลังแพทย์ใหญ่เจ้าของไข้ร่ำไห้กลางศาล ปมการรักษาตัวชั้น 14

เอาคืน‘ทักษิณ’ยังแค้น‘อนุทิน’ ‘เสืิอกทุกเรื่อง’สอนมารยาท!

“ทักษิณ” เตรียมลุยช่วยหาเสียงเลือกตั้งซ่อม สส.ศรีสะเกษ ชี้เพื่อไทยมั่นใจมากรักษาเก้าอี้ สอนมารยาท “หนู” ได้ข่าวสั่งคนโทร.ให้นายอำเภอมารอรับ ทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไร

'ทักษิณ' เหน็บ 'อนุทิน' ไม่มีตำแหน่งอะไร อ้างได้ข่าวสั่งนายอำเภอให้มารอรับ

นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการลงพื้นที่ช่วยผู้สมัคร สส.พรรคเพื่อไทย (พท.) หาเสียงในการเลือกตั้งซ่อม สส.ศรีสะเกษ เขต 5 ว่า ก็คงต้องไป เดี๋ยวดูอีกทีว่าจะไปวันไหน

'ทักษิณ' ประธานเททองหล่อองค์หลวงพ่อคูณ 'สุวัจน์' พาหวนความทรงจำในอดีต

ทักษิณถึงวัดบ้านไร่ เททองหลวงพ่อคูณองค์ใหญ่ที่สุดในโลก รัฐมนตรี-สส.โคราช แห่ต้อนรับ ส่วนแฟนคลับเสื้อแดงร้องเพลงอวยพรวันเกิดล่วงหน้า

🛑LIVE ‘นันทเดช’ ทะลุช็อต ‘พ่อคืนคุก-ลูกลาออก’!! | อิสรภาพแห่งความคิด กับ..สำราญ รอดเพชร

‘นันทเดช’ ทะลุช็อต ‘พ่อคืนคุก-ลูกลาออก’!! อิสรภาพแห่งความคิด กับ..สำราญ รอดเพชร : วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ.2568