แผนเดิม 'ทักษิณ'

ก็แปลกดี

มีคนบอกว่า "อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร" เป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ แค่เปิดตัวปราศรัย ก็ดันมีคนใจแคบดาหน้าออกมาโจมตี

ยิ่งตียิ่งฉิบหาย เพราะคนจะเห็นใจ "อุ๊งอิ๊ง"

ถ้าการเมืองไทยใช้ตรรกะแบบนี้บ่อยๆ ฉิบหายแน่นอน

ต้องแยกให้ออกระหว่าง "โจมตี" กับ "ตรวจสอบ" 

การตรวจสอบบุคคลที่ก้าวเข้ามาเป็นบุคคลสาธารณะ  เป็นแคนดิเดตผู้นำประเทศ ถือเป็นหลักสากล ที่ไหนเขาก็ทำกัน

และไม่มีที่ไหนเรียกว่าโจมตี เพราะมันคือการตรวจสอบ

ในเมื่อเรื่องราวในอดีตยังมีเงื่อนปมให้สงสัย โดยเฉพาะประเด็นการทุจริต และจริยธรรม ก็ควรพิสูจน์กันให้หายสงสัย

หากยังไม่ชัดเจน การอยู่ในตำแหน่งทางการเมืองของ  "อุ๊งอิ๊ง" ในอนาคต ก็จะกลายเป็นปัญหา และหนีไม่พ้นถูกตรวจสอบอยู่ดี

ฉะนั้นมันไม่ใช่เรื่องหมาป่าล่าเด็กหญิง

และ "อุ๊งอิ๊ง" ไม่ใช่เด็กหญิง 

ดูจากท่าทีนอบน้อม ยืนมือกุมเป้าของคนในพรรคเพื่อไทย ก็เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า "อุ๊งอิ๊ง" มีความสำคัญกว่า "ชลน่าน ศรีแก้ว" ผู้เป็นหัวหน้าพรรค

ของแบบนี้มันหลอกกันไม่ได้

เมื่อมีการตรวจสอบ ก็อยู่ที่เจ้าตัวว่า จะทำเรื่องให้เคลียร์หรือไม่ อย่างไร หรือด้วยวิธีไหน

แต่การวางหมากให้ "อุ๊งอิ๊ง" เป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย มันก็ชัดเจนอยู่ในตัว "ทักษิณ ชินวัตร" มีเจตนาซ่อน "อุ๊งอิ๊ง" จากเกมการเมือง

ไม่ให้ช้ำจนกว่าจะมีการเลือกตั้ง

อาจผิดถนัด!

เพราะหัวหน้าครอบครัว คือคนที่ต้องวางแผนจัดเตรียมด้านต่างๆ ให้พร้อมสำหรับทุกคนในครอบครัว

โดยเฉพาะเรื่องเงินทอง ความเป็นอยู่

ในฐานะหัวหน้าทางดีเอ็นเอ ย่อมมีความสำคัญกว่าหัวหน้าพรรคการเมือง

หัวหน้าพรรคการเมืองถูกลูกพรรคด่าได้ ตำหนิได้

แต่ในฐานะหัวหน้าครอบครัว มีใครหน้าไหนในเพื่อไทยกล้าวิจารณ์ "อุ๊งอิ๊ง" บ้าง

นี่คือหนึ่งในหลายเหตุผลว่าทำไม "อุ๊งอิ๊ง" ถึงต้องผ่านการตรวจสอบจากสาธารณะ เพราะคนในพรรคเพื่อไทยไม่มีใครกล้าทำเรื่องพวกนี้

สาเหตุมันก็ชัดเจน ไม่มีอะไรซับซ้อน

พรรคเพื่อไทย ยังเป็นของตระกูลชินวัตร

ถามว่า "อุ๊งอิ๊ง" ก้าวเข้าสู่การเมืองโดยการสนับสนุนของใคร

นี่จึงไม่ใช่เรื่องของ เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ถือตุ๊กตา ดูดจุกหลอก เดินขึ้นไปบนโพเดียมของพรรคเพื่อไทย แล้วประกาศว่า ต้องการได้อำนาจ

แลนด์สไลด์ ๑๔ ล้านเสียง

ประเทศไทยผ่านประสบการณ์อันเลวร้ายทางการเมืองมานักต่อนักแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นการรัฐประหาร

หรือนักการเมืองโกง

ยุค "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" เป็นยุคนักการเมืองนอมินี   คนบัญชาการที่แท้จริงคือคนที่ถูกศาลพิพากษาจำคุกคดีโกงหลายคดี

และเราอาจเข้าสู่ยุคผู้นำนอมินีอีกครั้ง  

จากพี่ชายบงการน้องสาว

มาสู่ยุคลูกสาวเป็นหุ่นเชิดให้พ่อ

นี่คือสิ่งที่ประชาชนกลัวกัน

ก่อนจะถึงวันนั้น เส้นทางสู่ ๑๔ ล้านเสียงมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน

การเลือกตั้งปี ๒๕๖๒ พรรคเพื่อไทยฟูลทีม

แคนดิเดตนายกฯ ๓ คน 

สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์

ชัชชาติ สิทธิพันธุ์

ชัยเกษม นิติสิริ

ชนะเลือกตั้งเป็นพรรคอันดับ ๑ ได้ ส.ส. ๑๓๖ ที่นั่ง  ประชาชนโหวตให้ ๗,๘๘๑,๐๐๖ เสียง

แต่พรรคอันดับ ๒ คือพลังประชารัฐ แม้จะได้ ส.ส.  ๑๑๖ ที่นั่ง แต่เสียงโหวตรวมกลับสูงสุดคือ ๘,๔๔๑,๒๗๔  เสียง

นั่นหมายความว่า เขตเลือกตั้งที่เพื่อไทยชนะการเลือกตั้งนั้นโดยเฉลี่ยชนะไม่ขาด

แต่เขตที่ พลังประชารัฐ ชนะ ถือว่าชนะขาด นั่นทำให้คะแนนป๊อปปูลาร์โหวตของพลังประชารัฐ มากกว่า เพื่อไทย

วันนี้ "สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์" ออกไปสร้างดาวคนละดวง เริ่มต้นใหม่ด้วยนโยบายประชานิยม ปั้น ไทยสร้างไทย ขึ้นมาเทียบกับ เพื่อไทย

"ชัชชาติ สิทธิพันธุ์" ฉายเดี่ยว เดินออกจากเพื่อไทยไปสมัครผู้ว่าฯ กทม.

แล้วไหนจะ "ก้าวไกล" ที่ฐานเสียงบางส่วนทับซ้อนกับเพื่อไทย

ฉะนั้นคำถามคือ ๑๔ ล้านเสียงจะ แลนด์สไลด์ มาจากไหน

เลือกตั้งปี ๒๕๔๘ "ทักษิณ" เคยพาไทยรักไทยชนะเลือกตั้ง ได้ ๑๘,๙๙๓,๐๗๓ เสียง แต่ปีนั้นคู่แข่งของ ไทยรักไทย มีเพียง ประชาธิปัตย์ ที่ได้ ๗,๒๑๐,๗๒๔ เสียง เท่านั้น

พรรคอื่นที่เคยยิ่งใหญ่เช่น ชาติไทย กลายเป็นพรรคขนาดเล็ก เพราะพลังดูดของ "ทักษิณ"  

แต่การเลือกตั้งครั้งถัดไปนี้ จะแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง

เพราะนอกจาก ไทยสร้างไทย และ ก้าวไกล ที่ฐานคะแนนทับซ้อนกันแล้ว ยังมี พลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์  ภูมิใจไทย เป็นก้างขวางคอชิ้นโต

โอกาสเกิด แลนด์สไลด์ ๑๔ ล้านเสียง จึงมีทางเดียวคือ ใช้กลยุทธ์ที่เคยใช้ก่อนการเลือกตั้งปี ๒๕๔๘

ขณะนั้น "ทักษิณ" อยู่ครบวาระ ๔ ปี ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่

แต่ "ทักษิณ" วางแผนล่วงหน้าเป็นปีๆ เพื่อสร้างให้ไทยรักไทยเป็นรัฐบาลพรรคเดียวให้ได้

ฉะนั้นเมื่อวาระการดำรงตำแหน่งสิ้นสุดลง "ทักษิณ" สร้างปรากฏการณ์ทางการเมืองครั้งใหญ่ ด้วยการควบรวม พรรคการเมือง ซึ่งเคยเป็นพรรคร่วมรัฐบาล

มีพรรคความหวังใหม่

ชาติพัฒนา

กิจสังคม

เสรีธรรม

และพรรคเอกภาพ

ผลการเลือกตั้งครั้งนั้นจึงแลนด์สไลด์ ไทยรักไทยได้ ส.ส. ๓๗๗ ที่นั่งจาก ๕๐๐ ที่นั่ง เกินกึ่งหนึ่งของสภา ตั้งรัฐบาลพรรคเดียว

ถ้าการเมืองกลับมาฉายหนังม้วนเดิม ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจะมากกว่าการแจกกล้วยเป็นลูกหรือหวี แต่แจกเป็นฟาร์ม

ฉะนั้น มองไม่ออก หากไม่ดูดพรรคการเมือง เพื่อไทยจะได้ ๑๔ ล้านเสียงจากไหน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

มันมากับความเงียบ

งานเลี้ยงใกล้เลิกรา... สมาชิกวุฒิสภาชุดปัจจุบันจะหมดวาระลงเดือนพฤษภาคมนี้แล้วครับ

แผนแทรกแซงกองทัพ

ก็ยังไม่เห็นว่าหน้าตาชัดๆ เป็นอย่างไร หมายถึงกฎหมายต้านการปฏิวัติรัฐประหารครับ

ประชาธิปไตยแบบไทยๆ

นักการเมืองคนไหนที่บอกว่า "รวยพอแล้ว" อย่าไปเชื่อ เพราะถ้าพอจะไม่แสวงอำนาจการเมือง

นายทุนก้าวไกล

เริ่มต้นด้วยเรื่องเงินๆ ทองๆ วานนี้ (๑๗ เมษายน) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สรุปยอดเงินบริจาคของพรรคการเมือง ประจำเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ ทั้งสิ้น ๑๓ พรรคการเมือง