'ไทยฟื้นดั่งปาฏิหาริย์'

"เจ๊ฟอง".....

หรือ "แม่หมอฟองสนาน จามรจันทร์" ไม่รู้จะแม่นกันไปถึงไหน!?

เคยฟังเธอคำนวณการโคจรดวงดาว บอกว่า นับจาก  ๘ เมษายน ๒๕๖๕ เป็นต้นไป

ถึงแม้ราหูจรทับลัคนาเมืองคู่มฤตยู แต่ราหูรอบนี้มาดี ไม่ได้มาร้าย เพราะเป็นราหูเทวีโชค

จะทำให้บ้านเมืองที่สลบไสล พลิกฟื้นตื่นขึ้นมา ชาวบ้านร้านค้าที่ท้อแท้-ทอดอาลัย จะกระดี๊-กระด๊า ขยันค้า ขยันทำมาหากิน

โดยเฉพาะ "การท่องเที่ยว"

"คนต่างบ้าน-ต่างเมือง" จะแห่แหนกันเข้ามา ชนิดว่า "สนามบินแทบแตก"!

ประเทศและผู้คน จะคึกคัก มีชีวิต-ชีวา ความหวังค่อยๆ เจิดจ้าอีกครั้งหนึ่ง ด้วยเงินทองจะไหลสะพัดมือ-สะพัดเมือง

ในเมื่อ ๒ เครื่องยนต์ประเทศไทย คือเครื่องยนต์สินค้าส่งออก และเครื่องยนต์การท่องเที่ยว

"จากดับสนิท" กลับเป็น "ติดเทอร์โบ" พร้อมกัน

ก็เป็นอันว่า "หมดห่วง"!

ที่พูดกันประเทศจะไม่รอด ทั้งโควิด ทั้งพิษสงคราม  ทำให้น้ำมันแพง ของแพง เงินเฟ้อ จะฉุดเศรษฐกิจพัง  รัฐบาลถังแตก ต้องกู้ กลายเป็นประเทศหนี้ท่วมหัว นั้น

เลิกพูดกันไปได้เลย จากนี้!             

จะมีก็แต่พวกองุ่นเปรี้ยวกับพวกชังชาติเท่านั้น จะปั่นเฟกนิวส์ ด้วยอิจฉา!

วานซืน ผมนั่งจิ้มคอมพ์แล้วเปิดโทรทัศน์ฟังข่าวไปด้วย ได้ยินเขารายงานว่า สนามบินสุวรรณภูมิ จากที่ "ผีหลอก" มาเป็นปีๆ แต่ขณะนี้ ไม่รู้นักท่องเที่ยวจากประเทศไหน-ต่อไหน ทะลัก-ทลายเข้ามา วันละนับเป็นหมื่นๆ คน!

เลยแหงะหน้าขึ้นดู เห็นหัวนักท่องเที่ยวยุ่บไปหมด  ผมถึงขั้นต้องอุทานในใจ

"โอ๊ะ...พ่อแก้ว-แม่แก้ว ปาฏิหาริย์ปานไฉนกระไรนั่น"!?

"นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน" โฆษก ศบค.แถลงเมื่อวาน (๘ เม.ย.) ปี ๖๔ ทั้งปี ด้วยระบบ Test & Go

มีนักท่องเที่ยวเข้ามาแค่ ๔.๒ แสนคนเท่านั้นเอง!

แต่ปี ๖๕ แค่ ๓ เดือน "มกรา-มีนา" เท่านั้น

มีนักท่องเที่ยวเข้ามาแล้วกว่า ๔.๗ แสนคน เรียกว่ามากกว่าปี ๖๔ ทั้งปี!

แล้วนี่ เข้าเมษา "ช่วงเทศกาลสงกรานต์" แทบทุกสายการบินมุ่งหน้าสู่ประเทศไทย เรียกว่า "หลั่งไหล" กันเข้ามาเหนือคาดหมาย

ยิ่งรัฐบาลเตรียมปรับแผนในเดือนพฤษภา ไม่ต้องทำ  RT-PCR มาถึงสนามบินแล้วตรวจ ATK ด้วยตนเองครั้งที่ ๒

ลดข้อมูลการลงทะเบียนใน Thailandpass  แล้วปรับลดวงเงินประกันสุขภาพ แถมไม่ต้องกักตัวกันเป็นวันๆ ด้วยแล้ว

นักท่องเที่ยวจะไม่ทะลัก-ทลายกันเข้ามาวันละเป็นแสนหรือนั่น?!

ผมอ่านข่าวพบวันก่อนว่า "มูดีส์คงอันดับความน่าเชื่อถือไทย" มาเมื่อวาน พบมีคนโพสต์ข้อความนี้

Pairote Muenlooktao

ข่าวดีครับ

อ่านแล้วโล่งเลย เขาวิเคราะห์ประเทศไทยไว้บวกมากๆ เลย ขอบคุณลุงตู่มากที่ยอมเหนื่อยยอมทนให้คนที่ไม่ชอบและอยากได้อำนาจคืนดูถูกดูแคลนสารพัด

Pairote Muenlooktao

นทท.เริ่มเข้าไทย สนามบินสุวรรณภูมิจากวันละ  7,000 กว่า เป็นวันละ 11,000 กว่า

ที่ผมงงมากคือศึกแดงเดือดที่จัดในไทย บัตรแพงมาก  โควิดก็ยังไม่จางหาย เขาจะขายบัตรได้เหรอ คงต้องยกเลิก  ที่คิดอย่างนี้เพราะเสพแต่ข่าวลบในโลกโซเชียล ข่าวบวกมันไม่ค่อยลงกันเลย

ที่ไหนได้ ขายวันเดียวหมด

............................................

ก็ไม่ทราบว่า ท่านได้อ่านข่าว "Moody’s คงอันดับความน่าเชื่อถือประเทศไทย ที่ Baa1" กันหรือยัง?

ใครไม่อ่านก็ไม่เป็นไร แต่ "คนผมน้อย" ที่ชื่อ "พิชัย  นริพทะพันธุ์" รองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย "ด้านเศรษฐกิจ" ที่ออกมาพูดว่า.......

"เศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวได้ต่ำเตี้ย อาจไม่ถึง 1%  หนี้สาธารณะที่พุ่งสูงกว่า 9 ล้านล้านบาท และทะลุเพดาน  60% จนต้องขยายเพดานหนี้

อีกทั้งหนี้ครัวเรือน พุ่งขึ้นกว่า 14.24 ล้านล้านบาท ที่ประชาชนยังไม่รู้จะหารายได้ที่ไหนมาใช้หนี้ หนี้เสี่ยงของธนาคารที่อาจจะเป็นหนี้เสียกว่า 2 ล้านล้านบาท

หนี้นอกระบบที่เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวกว่า 85,000 ล้านบาท คนว่างงานกว่า 870,000 คน สูงสุดใน 20 ปี และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ปัญหาเหล่านี้ 'พลเอกประยุทธ์' ยังไม่รู้เลยว่าจะแก้ไขได้อย่างไร?" นั้น

ควรต้องอ่าน มันอาจไม่ช่วยสร้างรากผมให้งอกได้ แต่น่าจะสร้างรากสมองให้เพิ่มได้บ้าง!

ผมจะยกทั้งข่าวมาให้อ่านเป็นวิทยาทานนะ

.................................

"นางแพตริเซีย มงคลวนิช" ผอ.สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า

เมื่อ 7 เม.ย.65 บริษัท Moody’s Investors Service  (Moody’s) ได้คงอันดับ "ความน่าเชื่อถือประเทศไทย"  (Sovereign Credit Rating) ที่ Baa1 หรือเทียบเท่า BBB+

และคงมุมมองความน่าเชื่อถือประเทศไทย (Outlook)  ที่ระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้

1.ประเทศไทยมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ มีความหลากหลาย และมีประสิทธิผลของนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่มีประสิทธิภาพและแข็งแกร่ง

ทำให้มีความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจที่จะสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและแรงกระทบที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง (Shock) ในอนาคตได้

ซึ่ง Moody’s คาดว่า ในระยะยาว การดำเนินการภายใต้โครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC)

จะสนับสนุนการลงทุนเพิ่มขึ้นและการเพิ่มผลผลิต  (Productivity) เติบโตอย่างแข็งแกร่ง

นอกจากนี้ Moody’s คาดว่า ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้าการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยจะเพิ่มขึ้น

เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 คลี่คลาย และภาคการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวขึ้น

จึงคาดว่า เศรษฐกิจไทยปี 2565 และปี 2566 จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ร้อยละ 3.4 และร้อยละ 4.8 ตามลำดับ

2.ภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) ของประเทศไทย มีความแข็งแกร่ง เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกัน (Baa  Peers)

โดย Moody’s คาดว่า ช่วง 2-3 ปีข้างหน้า รัฐบาลจะยังคงดำเนินนโยบายการคลังแบบผ่อนคลาย

เพื่อส่งเสริมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่มีความเปราะบาง โดยหนี้ภาครัฐบาล (General Government Debt) ปี  2565-2567 มีแนวโน้มสูงขึ้นเล็กน้อย อยู่ที่ร้อยละ 52-54 ของ GDP

ทั้งนี้ เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว ส่งผลทำให้การขาดดุลงบประมาณและภาระหนี้ลดลง

นอกจากนี้ สัดส่วนหนี้ภาครัฐบาลสกุลเงินต่างประเทศที่อยู่ในระดับต่ำมาก ประกอบกับเงินออมภายในประเทศมีจำนวนมาก จะทำให้ต้นทุนการกู้เงินต่ำลง

ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยคงความสามารถในการชำระหนี้อยู่ในระดับสูง (High Debt Affordability)

3.ภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) มีความเข้มแข็ง ทุนสำรองระหว่างประเทศยังคงอยู่ในระดับสูง

แม้ว่าปี 2565 ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลเล็กน้อย  เนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์และต้นทุนการขนส่งที่สูงขึ้น  แต่คาดว่าจะกลับมาเกินดุลในปี 2566

4.สำหรับปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ Moody’s ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือ (Sovereign Credit Rating) ของประเทศไทย คือ

การเพิ่มระดับการลงทุนและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตของผลผลิต  (Productivity Growth) อย่างยั่งยืน

ซึ่งอาจช่วยลดผลกระทบจากปัญหาช่องว่างทางทักษะของแรงงานและโครงสร้างประชากรจากสังคมผู้สูงอายุได้  และการดำเนินการภายใต้ EEC ดีกว่าที่คาดการณ์

ขณะที่ปัจจัยสำคัญ ซึ่งอาจกระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือ คือ ตัวชี้วัดภาคการคลังและหนี้สาธารณะที่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญเกินกว่าที่ Moody’s คาดการณ์ในปัจจุบัน

รวมถึงการดำเนินการตามแผนการคลังระยะปานกลาง ตลอดจนปัจจัยทางการเมือง ที่อาจส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและภาคการคลังของประเทศ

5.นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยสะท้อนได้จากล่าสุด ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development  Bank: ADB) คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเป็นบวกได้ร้อยละ 3 ในปี 2565 และขยายตัวร้อยละ 4.5 ในปี 2566

เนื่องจากเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยตั้งแต่ 2-3 เดือนสุดท้ายของปี 2564 และคาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในปี 2565

สอดคล้องกับสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย ที่อยู่ในระดับที่ "ไม่น่ากังวล"

ซึ่งมาตรการของรัฐบาลที่ผ่านมา เช่น เราไม่ทิ้งกัน, เราชนะ, การเพิ่มกำลังซื้อผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และคนละครึ่ง เป็นต้น

ช่วยเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ในช่วงที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี

และมีส่วนทำให้สถานการณ์ด้านความเหลื่อมล้ำ สะท้อนจากค่าสัมประสิทธิ์ GINI ในปี 2563 มีค่าอยู่ที่ 0.35  มิได้เปลี่ยนแปลงจากช่วงก่อน COVID-19 และลดลง เมื่อเทียบกับในอดีตที่ผ่านมา

สำหรับหนี้ครัวเรือน ณ สิ้นสุดไตรมาส 4 ปี 2564 อยู่ที่ 14.58 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ  90.1 ต่อ GDP

ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลของ GDP ที่หดตัวจากสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวได้ ระดับหนี้ครัวเรือนต่อ GDP จะลดลงในอนาคต

นอกจากนี้ หนี้ครัวเรือนส่วนใหญ่ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ (ร้อยละ 34.5) เพื่อการประกอบอาชีพ (ร้อยละ 18.1) และเพื่อการซื้อทรัพย์สิน (ร้อยละ  12.4)

ในขณะที่หนี้ครัวเรือนเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลมีสัดส่วนที่น้อยกว่า อยู่ที่ร้อยละ 27.8

ดังนั้น หนี้ครัวเรือนส่วนใหญ่ จึงเป็นหนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้และสร้างอาชีพให้แก่ประชาชนในอนาคตต่อไป

....................................

แบบนี้่ .......

พวกกูรูเศรษฐกิจที่ออกมาหยาม "นายกฯ โง่" คงต้องไปซื้อผ้าแดงผูกโบที่เขาตัวเองโชว์กันแล้วละมั้ง?

วันเสาร์ที่ปลายซอย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เศรษฐา "นายกฯ ฮูดินี"

"ชีวิตที่มีหมานำ" ก็อย่างนี้แหละครับ "หัวหน้าคอก" เมื่อพักคุก ก็ไปขลุกเชียงใหม่

'เมษา....พระมาเตือน'

เรา...."ประเทศไทย"! "ชาติ-พระศาสนา-พระมหากษัตริย์" เป็นทั้งรูปธรรมและนามธรรม

'เศรษฐา' พา 'ธ.ก.ส.ซวย'

ใครๆ เขาถูกหวยแล้วรวย แต่ ธ.ก.ส.ถูกหวย "กู้มาแจก" ของเศรษฐาตั้ง ๑.๗๒ แสนล้านบาท