จาก 'เลนิน' ถึง 'ปิยบุตร'

ก็ไม่ทราบว่ามีเจตนาอะไรครับ

วันก่อน "ปิยบุตร แสงกนกกุล" โพสต์เฟซบุ๊กเอาไว้ว่า "...เมื่อไรก็ตามที่ประชาชนจำนวนมหาศาลตระหนักถึงพลังของตนในการเปลี่ยนแปลง เมื่อนั้น 'ประชาชน'  ผู้ทรงอำนาจสูงสุดตัวจริงก็จะระเบิดพลังและปรากฏกายขึ้น

วันนี้ คนศรีลังกาจำนวนมหาศาล ได้ปรากฏกายเป็น  'ประชาชน' ผู้ทรงอำนาจสูงสุดในการก่อตั้งระบอบการเมือง (peuple constituant)

เลนินบอกว่า ปฏิวัติเกิดได้ต้องมีสถานการณ์ปฏิวัติ  แต่ทุกสถานการณ์ปฏิวัติอาจไม่นำมาซึ่งการปฏิวัติ

ที่ศรีลังกา สถานการณ์ปฏิวัติดำรงอยู่และกำลังนำพาไปสู่  'ปฏิวัติ'..."

"ปิยบุตร" กำลังเรียกร้องให้ม็อบในประเทศไทย เอาอย่างศรีลังกาใช่หรือไม่

น่าสนใจครับ เพราะเมื่อคืนวันที่ ๙ กรกฎาคมที่ผ่านมา สื่อต่างประเทศรายงานกันครึกโครม ว่ามีกลุ่มผู้ประท้วงได้บุกเข้าไปเผาบ้านพักของนายกรัฐมนตรี รานิล  วิกรมสิงเห ในกรุงโคลัมโบ

ส่วนบ้านประธานาธิบดีโกตาบายา ราชปักษา ถูกยึด

โดยกลุ่มผู้ประท้วงขับไล่รัฐบาลจากทั่วประเทศต่างเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงของศรีลังกา มีการเกณฑ์ชาวบ้านจำนวนมากขึ้นรถไฟไปร่วมประท้วง

ก็คล้ายๆ ที่ไทยครับ ตำรวจพยายามจะขัดขวาง

ทางการศรีลังกาพยายามยับยั้งการชุมนุมประท้วงด้วยการประกาศเคอร์ฟิว แต่ไม่เป็นผล

ม็อบที่ศรีลังกายืดเยื้อมาหลายเดือนแล้ว จากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจเป็นหลัก

ทุนสำรองระหว่างประเทศเหลือก้นถุง ไม่มีเงินเพียงพอที่จะนำเข้าสินค้าที่จำเป็นจากต่างประเทศ เช่น น้ำมัน เชื้อเพลิง

ก็คล้ายๆ กับที่ลาวกำลังประสบอยู่ในวันนี้

ชาวศรีลังกามองว่า ความล่มจมของประเทศ เป็นเพราะระบอบราชปักษา บริหารประเทศนานเกินไป

เป็นการบริหารประเทศที่ผิดพลาด โดยตระกูลราชปักษา ของ ประธานาธิบดี โกตาบายา ราชปักษา และอดีตนายกรัฐมนตรี มหินทา ราชปักษา ที่เพิ่งจะลาออกจากตำแหน่งไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เพราะมีกระแสต่อต้านอย่างหนัก

วันนี้นำไปสู่การยึดและเผา!

นี่คือสิ่งที่ "ปิยบุตร" ต้องการอย่างนั้นหรือ

การเปลี่ยนแปลงมีหลากหลายวิธีครับ

เช่นการปฏิวัติ

การก่อม็อบ

ไปถึงการเลือกตั้ง

ประเทศไทยกำลังจะเข้ารูปเข้ารอย รอการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการเลือกตั้ง ซึ่งจะเกิดขึ้นแน่นอนไม่เกินต้นปีหน้า

แล้วทำไมมาร้องหา การปฏิวัติ การก่อม็อบกันอีก

ครั้งที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีอำนาจบริหารประเทศ กลับใช้อำนาจนั้นเพื่อ นิรโทษกรรมให้พี่ชาย ล้างความผิดที่เกิดจากการคอร์รัปชัน มวลมหาประชาชนนับล้านคนออกมาชุมนุมประท้วง เคลื่อนตัวไปบนถนนยาวนับสิบๆ กิโลเมตร

แต่ไม่อาจโค่น "ยิ่งลักษณ์" ลงได้

แม้ "ยิ่งลักษณ์" จะยุบสภา แต่ก็ถูกมองว่าเป็นการยื้ออยู่ในอำนาจต่อ

กระทั่งถูกรัฐประหาร ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗

เช่นเดียวกันม็อบคนเสื้อแดง เผาบ้านเผาเมือง แต่ไม่อาจโค่นรัฐบาลอภิสิทธิ์ลงได้

การยุบสภาเกิดขึ้นหลังเหตุการณ์เผาเมืองร่วมปี และการยุบสภาก็เป็นไปตามคำมั่นสัญญา มิใช่แรงกดดันของม็อบแต่อย่างใด

"ปิยบุตร" อยากเห็นภาพการชุมนุมและความรุนแรง  ขณะที่พรรคการเมืองทั้งหมด รวมทั้งพรรคก้าวไกล กำลังมุ่งสู่การเลือกตั้งกันแล้ว

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ "ปิยบุตร" แสดงทัศนะเช่นนี้

บ่อยครั้ง และทุกครั้งต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงแบบ "ปฏิวัติ"

"ปิยบุตร" ลุ่มหลงการปฏิวัติฝรั่งเศสจนโงหัวไม่ขึ้น

และอยากให้ไทยเปลี่ยนผ่านในลักษณะนั้นเช่นกัน

เช่นเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว โพสต์ในเฟซบุ๊กว่า

"...ปฏิรูปแบบปฏิวัติทำข้อเสนอให้ราดิคัลที่สุด ก้าวหน้าที่สุด ไต่เพดานให้มากที่สุด เท่าที่เป็นไปได้ภายใต้ระบอบที่เป็นอยู่

ยกระดับให้ข้อเสนอนี้เป็นข้อเสนอขั้นต่ำที่เราจะไม่ถอยไปมากกว่านี้..."

 เดือนเมษายนที่ผ่านมา "ปิยบุตร" พูดแนะนำหนังสือ  ภูมิปัญญาปฏิวัติฝรั่งเศส ตอนหนึ่งว่า

 “...เมื่อเราพูดถึงประชาธิปไตยในความเห็นของต็อกเกอวิลล์ ไม่ใช่เป็นเหตุการณ์ที่เราอยากให้เกิดมันก็เกิดหรอก แต่เป็นวัฏจักร โลกหมุนไปทุกวัน เพราะฉะนั้นมันต้องเกิด

เมื่อเกิดขึ้นแล้วปัญหาคือชนชั้นนำที่ปกครองอยู่ มีสติปัญญา วิสัยทัศน์เพียงพอที่จะควบคุมการเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ หากรู้สึกว่าถ้าเปลี่ยนไปแล้วตัวเองจะไม่ปลอดภัย แทนที่จะไปขัดขวาง ต้องเข้าไปควบคุมการเปลี่ยนแปลง”

 “...ฉะนั้นที่ผมเขียนบทความนี้ ไม่ใช่เพื่อเปรียบเทียบการปฏิวัติฝรั่งเศสกับของไทย แต่เป็นเรื่องสากลในลักษณะที่ว่าการปกครองที่ใดก็ตาม หากชนชั้นผู้อยู่ใต้ปกครองรู้สึกว่าเขาจะไม่ทนกับสิ่งที่เป็นอยู่ ต้องการเปลี่ยนแปลง

เมื่อนั้นชนชั้นปกครองต้องคิดว่าจะปรับอย่างไร หรือยังคงยืนยันที่จะอยู่อย่างเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แล้วสุดท้ายก็จะเกิดการปะทะ...”

ความคิดที่วนเวียนอยู่นี้ถูกตั้งคำถามว่า "ปิยบุตร" คือผู้ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงโดยใช้ความรุนแรงใช่หรือไม่ และทำไมถึงไม่ออกมานำม็อบเอง แต่กลับปล่อยให้เด็กๆ ในมหาวิทยาลัยเดินนำหน้า

สุดท้ายติดคุกติดตะรางกันไปหลายคน เพราะได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก "ปิยบุตร"

การอ้างคำกล่าวของ "เลนิน" ที่บอกว่า "ปฏิวัติเกิดได้ต้องมีสถานการณ์ปฏิวัติ" เมื่อไปดูความเชื่อของ "เลนิน" มีการพูดถึงความคิดเกี่ยวกับการปฏิวัติเอาไว้หลายแง่มุม อาทิ

อำนาจของชนชั้นนายทุนทำให้เกิดความจำเป็นในการปฏิวัติ

ศีลธรรมยังไม่เท่ากับผลประโยชน์ของชนชั้นกรรมาชีพ

สงครามปฏิวัติเป็นกฎสำคัญสูงสุด

ในมุมมองของ "เลนิน" การปฏิวัติจะต้องอาศัยประโยชน์จากทฤษฎีจักรวรรดินิยมนายทุน นั่นคือ โอกาสที่จะเริ่มการปฏิวัติในประเทศใด ย่อมขึ้นอยู่กับสถานการณ์ระหว่างประเทศ และภาวการณ์ภายในประเทศ

โดยเฉพาะพึงระลึกว่า สงครามใดๆ ย่อมช่วยให้เกิดความตึงเครียดภายในชาติที่เข้าสู่สงคราม และทำให้ระบอบนายทุนในประเทศต้องอ่อนแอลง

นี่เป็นจุดอ่อนในระบอบนายทุน ซึ่งพึงใช้ให้เป็นประโยชน์ด้วยการเริ่มการปฏิวัติโดยชนชั้นกรรมาชีพ

"เลนิน" ไม่เชื่อในหลักที่ว่าด้วยเสียงข้างมาก ถึงกับเรียกว่าเป็น "สิ่งลวงตาทางรัฐธรรมนูญ"

เหตุผลก็คือพลังสำคัญได้แก่ อิทธิพลของชนชั้น ปกครอง เสียงข้างมากจะเป็นไปได้ต่อเมื่อ สอดคล้องกับผลประโยชน์ของชนชั้นปกครอง

ฉะนั้น "เลนิน" จึงไม่ศรัทธาในวิถีทางของประชาชน

โดยข้อนี้จึงเป็นจุดหนึ่งที่ส่งเสริมให้ "เลนิน" ยึดมั่นในการปฏิวัติ

"เลนิน" เชื่อว่ารากฐานของสิทธิทางการเมือง มิใช่อยู่ที่การใช้เสียงข้างมาก

แต่อยู่ที่การปฏิวัติต่างหาก

ก็ไม่รู้ว่า การที่ "ปิยบุตร" อ้าง "เลนิน" จะมีความเชื่อแบบ "เลนิน" หรือไม่

แต่ที่แน่ๆ การปฏิวัติของ "เลนิน" จะต้องทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า "สงคราม" ก่อน

ว่าไงครับ "คุณปิยบุตร"!

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ทักษิณคิดเพื่อไทยทำ

จะเอาจริงๆ เหรอ.... วานนี้ (๒๘ มีนาคม) นายกฯ เศรษฐา พูดถึงร่างพระราชบัญญัติสถานบันเทิงครบวงจร ฟังดูแล้ว กาสิโนน่าจะเกิดในรัฐบาลนี้

ไร้ภาวะผู้นำ

ศึกนายพลสีกากีดูเพลินๆ ไปครับ ขุดกันเยอะเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น

'ครอบงำ' หัวจรดเท้า

"พรรคของท่าน ท่านก็มีสิทธิ์ที่จะไป" วานนี้ (๒๖ มีนาคม) นายหัวชวน หลีกภัย พูดถึง "นักโทษชายทักษิณ" ผู้ป่วยที่เดินแทบไม่ได้เมื่อเดือนที่แล้ว ไปเหยียบที่ทำการพรรคเพื่อไทย ด้วยท่าทีกระฉับกระเฉง ก็จริงนะ...

ผู้สานต่อสันดาน

คนเขาสงสัย... ระหว่างการคุมประพฤติ นักโทษ จะต้องปฏิบัติตนอย่างไร?

ก้าวไกล ไม่รอด!

จะเกี่ยวกันมั้ย??? พรรคอนาคตไกล ร่อนหนังสือเชิญสื่อทุกแขนง ไปร่วมพิธีเปิดที่ทำการพรรค และพิธีบวงสรวง เจริญพระพุทธมนต์ ในวันที่ ๒๘ มีนาคม

หมากนี้จะกินรวบ

เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ เพราะว่าไปแล้วมันก็น่าประหลาดใจกับคำสั่งเรียก "บิ๊กต่อ-บิ๊กโจ๊ก" ไปช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ของนายกรัฐมนตรี