'ในถนน' ถึงใน 'รัฐสภา'

เที่ยงวาน ๑๖ พฤศจิกามาทำงาน

สงสัยทำไม "ถนนวิภาวดีรังสิต" การจราจรจึงติดขัดผิดปกติ?

พรรคพวกบอก "วันหวยออกก็เป็นงี้แหละ"!

"เฮ้ย...จริงดิ" ผมว่า

เขาก็ย้ำว่าจริง ตามร้านอาหารเงี้ย ตอนเที่ยงๆ แทบไม่มีคน แต่พอหวยออกเสร็จ ตรึมเลย โซ...มากินแก้แค้นหวยกิน

มันติดยาวจนรถราเบียดเสียดกันแน่นในเลนนอก ก็สังเกตดูว่าเลนในทำไมจึงติดหนับ ทั้งที่ตำรวจจราจรยืนหัวโด่ โด่จริงๆ ด้วยทำอะไรไม่ถูก

เพ่งสักพัก ก็...อ้อ เพราะเหตุนี้เอง

มันไม่ใช่ติดธรรมชาติ หากแต่มีขบวนการหนึ่้งจงใจทำให้ติด คือ "กลุ่มทุนรถบรรทุก"

เขาระดมรถบรรทุกชนิดต่างๆ วิ่งมาจอดเรียงๆ กัน "ยึดถนน" ตั้งแต่แยกเกษตรถึงแยกลาดพร้าว ตรงหน้า "กระทรวงพลังงาน" เรี่ยราดไปถึงแยกสุทธิสาร

ด้วยต้องการใช้ความเดือดร้อน "คนส่วนรวม" ที่ต้องใช้ถนนวิภาฯ ไปบีบรัฐบาลให้ "ลดราคาดีเซล"

พรวดเดียว ๕ บาท ตามข้อเรียกร้อง!

จากที่รัฐตรึงราคามาตลอด ไม่เกินลิตรละ ๓๐ บาท ให้ลดลงไปเหลือ ลิตรละไม่เกิน ๒๕ บาท

เมื่อรัฐบาลสนองตอบให้ไม่เป็นที่พอใจ

ก็เลยยกระดับบีบรัฐบาล ด้วยกิจกรรมเรียกว่า "Truck Power  Season II" ล้อมเมืองและผ่าเมือง เพื่อประชาชนคนใช้น้ำมันแพง

ตั้งชื่อซะโก้....

แต่ถ้าบอกว่า "นี่คือการจับชาวบ้านเป็นตัวประกัน" จะตรงกับสิ่งที่ทำมากกว่า!

ถ้าสุจริต-จริงใจ แกนๆ ซัก ๔-๕ คน ไปหารือกับรัฐบาล ถกกันบนความรับผิดชอบต่อประโยชน์รวม จะได้-ไม่ได้ หรือเต็มที่แล้ว ลดได้แค่ไหน ภายใต้กลไกตลาดน้ำมันโลก ก็เอากันแค่นั้น

ก็จะน่ารัก......

สมเป็นนักธุรกิจที่เข้าใจคำว่า "กำไร-ขาดทุน" ที่เป็นของคู่กัน อันธุรกิจการค้านั้น ส่วนหนึ่ง มันก็ขึ้นอยู่กับภาวะตลาด

บางช่วงก็กำไร อย่างตอนน้ำมันบาร์เรลละ ๒๕ เหรียญ ต้นทุนถูก ก็ได้กำไรกันเงียบ แทบจะไม่ได้ลดราคาให้สินค้าด้วยซ้ำ

แต่ตอนนี้ จาก ๒๕-๓๕ เหรียญ ขึ้นไปบาร์เรลละกว่า ๘๐ เหรียญ  ต้นทุนสูงขึ้น ทำให้กำไรลดลง แทนที่จะเข้าใจและบริหารธุรกิจตามเหตุปัจจัย

กลับโวย ตอนได้-เงียบ ตอนจะเสียบ้าง "น้ำมันแพง" โทษรัฐบาลเก็บภาษี!

ถ้ารถบรรทุกร้องให้ลดราคาดีเซลได้

เดี๋ยวรถเก๋ง รถกระบะ รถแท็กซี่ รถตู้ รถเมล์ รถทัวร์ รถตุ๊กๆ ก็ต้องมาร้องให้ลดราคาน้ำมันแต่ละชนิด และเอ็นจีวี บ้าง

ต่อจากนั้น ก็ร้องให้ลดค่าโดยสารรถชนิดต่างๆ ลดราคาสินค้า ลดค่าก๊าซหุงต้ม ลดราคาพืชผัก และ ฯลฯ

มันจะเป็นลูกโซ่ล้อกันไปหมด!

ที่อ้างน้ำมันมาเลย์ พม่า ถูกกว่าเมืองไทย อย่าหยิบปลายเหตุมาพูด โดยไม่ย้อนดูผลที่สืบเนื่องจากต้นเหตุ

พูดกันว่า "ประชาชนต้องได้ใช้น้ำมัน, ก๊าซ ราคาถูก เพราะขุดในบ้านเราเอง"

มันเป็นตรรกะ "เอาแต่ได้" ในการพูด

ข้อเท็จจริง น้ำมันลิตรหนึ่ง ต้องผ่านกระบวนการที่ต้องใช้ทั้งบุคลากร  ทั้งทุน ทั้งวิทยาการ ทั้งเทคโนโลยี ทั้งการกลั่น การผลิต การขนส่ง และอีกสารพัดการ เรียกว่ามหาศาล

ไม่ใช่ขุดมาปุ๊บ ก็เป็นเบนซิน-เป็นดีเซลได้เลยปั๊บ แล้วเอามาใช้กันสนุกสนานฟุ่มเฟือย ด้วยทัศนคติว่า "ของไทยมีเอง"

ในข้อเท็จจริงนั้น.....

กว่าจะเป็นน้ำมันมาตรฐานออกมาแต่ละชนิด มันต้องผ่านกระบวนการซับซ้อนหลายขั้นตอน เกินจะอธิบายตรงนี้

ถ้าจะเอากันแค่ว่า "ขุดมาใช้กันถูกๆ"

แบบนั้น เลิกลงทุน ขุด-เจาะ-กลั่น ไปเลยดีกว่า ซื้อสำเร็จรูปจากเขา สบายกว่า-ถูกกว่า

เพราะขุดขึ้่นมา นอกจากไม่เกิดประโยชน์ทางอนาคตยั่งยืนของประเทศแล้ว ยังทำให้ประเทศสูญเปล่ากับการลงทุนมหาศาล เพื่อเอามาใช้กันถูกๆ เป็นที่ตั้ง

น้ำมัน-ก๊าซของไทยเราน่ะ เทียบกับมาเลย์ บรูไน อินโดฯ แล้ว ของเรา "จิ๊บจ๊อย" มาก

ซ้ำที่ขุดได้ คุณภาพไม่สอดคล้องมาตรฐานที่จะใช้ในประเทศ

โดยเฉพาะมาเลย์ เขาส่งออกอันดับต้นๆ ของโลก ผลิตได้วันละกว่า  ๖ แสนบาร์เรล ในขณะที่ไทยเรา ผลิตได้วันละ ๒ แสนกว่าบาร์เรล ส่งออกได้แค่วันละ ๓ หมื่นกว่าบาร์เรล

แต่ไทยด้วยประชากรร่วม ๗๐ ล้าน ใช้น้ำมันวันละกว่าล้านบาร์เรล  ขณะที่มาเลย์ ซึ่งผลิตได้มาก แต่มีคนแค่ ๓๐ กว่าล้าน ใช้แค่วันละ ๘  แสนบาร์เรล

เหลือกิน-เหลือใช้อย่างนั้น เมื่อสิบกว่าปีก่อน ที่น้ำมันโลกสูงถึงบาร์เรลละกว่า ๑๔๐ เหรียญสหรัฐฯ ยาวนานหลายปี ทำให้มาเลย์รวยล้นเหลือ

ไม่ต้องพูดถึงน้ำมันมาเลย์ถูก พูดว่ามาเลย์ "ขายลิตร-เททิ้งลิตร" ก็ยังกำไร

นอกจากไม่เก็บภาษีแล้ว เขายังเอารายได้จากที่ส่งออกวันละราวๆ ๓  แสนบาร์เรลมาอุดหนุนราคาน้ำมันในประเทศ

ภาวะนั้น ไม่ต้องบริหารอะไร มันก็ใช่ไปทั้งหมด!

แต่พอตลาดโลก "พรวดเดียว" จากบาร์เรลละกว่า ๑๔๐ เหรียญ เหลือบาร์เรลละ ๒๕-๓๕ เหรียญ

เหมือนคนมีเงินใช้วันละ ๑๔๐ บาท จู่ๆ เหลือวันละ ๒๕ บาทติดกระเป๋า มันจะเป็นสภาพไหน?

คิดเอาละกัน ช่วง ๑๐ กว่าปีที่ผ่านมา มาเลย์ก็สภาพนั้น

จากริงกิตละ ๑๐ บาท วันนี้ รูดเหลือ ริงกิตละ ๗ บาทกว่าเท่านั้น!

เห็นมั้ย การมีแล้วเอามาใช้กันถูกๆ นอกจากไม่สร้างสรรค์ประโยชน์ในทางรวมแล้ว ยังเป็นตัวสร้างทัศนคติ "ติดยึด" ให้เป็นโคลนรั้งล้อกลไกเศรษฐกิจประเทศ ยามตกหล่ม

ส่วนน้ำมันถูกที่พม่า ไม่ต้องพูดถึง..........

ที่เราพูดกันว่า "คนไทยต้องใช้น้ำมันถูก" นั้น จะเอาอย่างนั้นได้เลย...ได้ทันที

แต่...

ต้องยอมรับนะว่า "สภาพประเทศ" จะเหมือนพม่า!

โครงสร้างคมนาคมพื้นฐานอย่างที่บ้านเรามีตอนนี้ ไม่ต้องพูดถึง ถนนทั่วประเทศพม่า ไม่ต่างทางเกวียน

ประปา-ไฟฟ้า-โทรศัพท์-โรงเรียน คุณภาพชีวิตทางสังคมและสุขภาพ ย้อนหลังไป ๕๐-๘๐ ปี บางพื้นที่ยังต้องจุดเทียน!

นี่คือบทสะท้อน.....

เมื่อไม่ "บริหาร-จัดการ" ด้านภาษีให้เป็นระบบ มีแล้วก็กินเปล่า-ใช้เปล่าไปวันๆ ยามสะดุด จะเกิดปัญหา รัฐจะเอาเงินที่ไหนไปพัฒนาประเทศ?   

และน้ำมันถูกที่ว่านั้น รู้มั้ย...น้ำมันมาเลย์กับที่พม่า "คนละเกรด" กับน้ำมันใช้ในประเทศไทย ซึ่ง "มาตรฐาน ยูโร 4"

ย้อนไปดูเรื่องรถบรรทุกปิดถนนบีบรัฐบาลกันต่อ

"นายอภิชาติ ไพรรุ่งเรือง" ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย ดูทรงอำนาจมาก เขาบอกว่า

"สหพันธ์ฯ ยื่นหนังสือร้องเรียไปยังกระทรวงพลังงาน จุดยืนเดิม ให้รัฐบาลตรึงราคาดีเซล ไม่ให้เกิน ๒๕ บาท/ลิตร เป็นเวลา ๑ ปี .............

สหพันธ์ฯ และเครือข่ายจะนำรถบรรทุก เติมน้ำมัน ๒๐ ลิตรต่อคัน แล้ววิ่งไปจนกว่าน้ำมันหมด

หมดตรงไหน ก็จอดตรงนั้น....

ทิ้งไว้ให้ไฟแนนซ์มายึดไปเอง เพราะทุกวันนี้ พวกเขาแทบจะไปต่อไม่ไหวแล้ว ถ้าจะให้วิ่งต่อ ก็ต้องหาน้ำมัน ๒๕ บาท/ลิตร มาเติมให้

ถ้าไม่ได้ตามเรียกร้อง จำเป็นต้องปรับขึ้นค่าขนส่ง ๑๐% หรือมากกว่า ตั้งแต่ ๑ ธันวาเป็นต้นไป"

ก็เอาตามที่สบายใจเถิด พ่อคุณ...พ่อมหาจำเริญ!

อยากทำอะไร ก็ทำเถอะ

แต่ขอให้รู้ไว้นิด ถนนที่รถบรรทุกพวกคุณวิ่ง สะพานที่รถบรรทุกพวกคุณข้าม ถนนที่รถบรรทุกพวกคุณจอด ไฟจราจรทุกแยก ไฟสองข้างทางทุกทิศ

สร้างจากเงินภาษีที่ระบบรัฐเก็บไปจากรายได้ส่วนต่างๆ ของธุรกิจการค้าและเงินได้ของประชาชน

รวมทั้งจาก "ภาษีน้ำมัน" ที่พวกคุณบังคับจะให้ลดพรวดเดียว ลิตรละ ๕ บาท จากดีเซล นั่นด้วย

ถ้าไม่มีภาษี......

พวกคุณก็จะไม่มีธุรกิจรถบรรทุกรับจ้างขนส่งสินค้า เพราะไม่มีการลงทุน ไม่มีธุรกิจการค้า ไม่มีสินค้าให้ขน

ทั้งไม่มีถนน ถึงมีก็สภาพทางเกวียนเหมือนพม่า ไม่มีสาธารณูปโภค  ไม่มีรถไฟฟ้าใต้ดิน-บนดิน ไม่มีรถไฟความเร็วสูง ไม่มีรถไฟทางคู่

เมื่อเป็นสภาพนั้น ต่อให้ดีเซลลิตรละ ๑ บาท นอกจากไม่มีคุณค่าใดๆ กับสังคมชาติแล้ว

ยังทำให้ประเทศชาติ "ไม่มีอนาคต" อย่างที่เรามีขณะนี้ ซึ่งไทยในนวัตกรรม "สู่ศตวรรษที่ ๒๑" เจิดจ้า มองเห็นอยู่ข้างหน้า

เหมือนผลึกแก้วที่จับต้องได้ "สว่างใส" อยู่ในมือ!           

นี่ ผมก็คุยไป หูก็ตะแคงฟังเขาอภิปรายร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมของไอติม-ปิยบุตรที่รัฐสภาไป

เห็นเขาเรียกว่าเป็นร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับ ล้ม-โละ-เลิก-ล้าง รื้อระบอบประยุทธ์

แต่ผมว่าเรียก ฉบับ "ปฏิรูปแบบปฏิวัติ" ตามสูตรปิยบุตรจะตรงตามเป้าประสงค์เขามากกว่า

ก็คงได้แค่สร้างพื้นที่ปลอดภัย เพื่อกระจายแนวโค่นล้มสถาบันชนิด "ถอนราก-ถอนโคน" เป็นสเตปๆ ในรัฐสภาตามที่เขาต้องการเท่านั้น

ดูเขาโหวตขั้นรับหลักการวันนี้ (๑๗ พ.ย.) สนุกกว่า สุดของสุดท้าย ใครจะ "ราดิคัล" ใคร นั้น

ไคลแมกซ์ "กระชั้น" เข้ามาแล้วล่ะ!

คนปลายซอย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง