OR มิติ"สมบัติมหาชน"


เพิ่มเพื่อน    

 

          วันนี้ ขอคุยข้าม "ตลาดการเมือง" ไป "ตลาดหุ้น" ซักวัน

            ไม่ใช่อะไร.......

                เห็นชาวบ้าน-ชาวเมืองฮือกันตลาดแตกแต่ก่อนเที่ยง ว่า ปตท.แจกอั่งเปาตรุษจีน!

                "กว่า ๕ แสนคน"

                ซึ่งเป็นรายย่อย เป๋าตุงคนละเป็นหมื่นๆ ถ้วนหน้า จากที่ได้จองซื้อหุ้นปั๊มน้ำมัน OR ที่เข้าซื้อขายในตลาดเป็นวันแรก เมื่อวาน (๑๑ ก.พ.๖๔)

                จากราคาจอง ๑๘ บาท

                ปิดตลาดขึ้นไปถึง ๒๙.๒๕ บาท ทุกคนที่จอง กำไรทันที หุ้นละ ๑๑.๒๕ บาท!

                ปตท.จัดให้ทุกคนที่จองคนละกว่า ๔,๐๐๐ หุ้น ก็หมายความว่า อั่งเปา ตั่วๆ ไก๊ คนละกว่า ๔ หมื่นบาท ถ้วนหน้า

                แบบนี้ ปั๊ม OR ต้องเตรียมตัว....

                ไม่แน่...วันดี-คืนดี จะมีคนเอาทองไปปิด ตอนใกล้ๆ วันหวยออก!

                เห็นว่ามูลค่าการซื้อขายเมื่อวาน ยอดรวมกว่า ๑.๖ แสนล้าน และ "ครึ่งหนึ่ง" ของ ๑.๖ แสนล้าน

                เป็นเงินซื้อ-ขายหุ้น OR ของ ปตท.ล้วนๆ!

                ที่ยกเรื่องนี้มาคุย มีหลายประเด็น ประเด็นแรกที่ควรทราบ OR เป็น "บริษัทลูก" ปตท.

                นั่นคือ OR ยังเป็นรัฐวิสาหกิจ

                ปตท. "โดยกระทรวงคลัง" ถือหุ้นใหญ่กว่า ๗๐% หุ้นที่นำออกขาย เพียง ๒๐ กว่าเปอร์เซ็นต์เท่านั้น

                ฉะนั้น ถ้าใครบอก "ขายสมบัติชาติ"...เลอะเทอะ!

                การเข้าตลาดของ OR นับว่า ปตท.สร้างมาตรฐาน "ธรรมาภิบาล" แห่งความหมาย "หุ้นมหาชนแห่งชาติ"

                "โปร่งใส-เป็นธรรม-ถ้วนหน้า" ชัดเจน

                เป็นครั้งแรก ไม่ใช้โบรกเกอร์กระจายหุ้น ให้ทุกคนจองได้ผ่านแบงก์ และได้ทุกคน คนละ ๓๐๐ หุ้น จากนั้น เกลี่ยเป็นรอบๆ ไปทุกคน จนครบจำนวนหุ้นที่จำหน่าย

                จึงเป็นปรากฏการณ์แรก .....

                นับแต่มีตลาดหลักทรัพย์ ที่ไม่มีแม้แต่เสียงเดียวพูดว่า ตุกติก ไม่แฟร์ เป็นตัวอย่างความโปร่งใสการกระจายหุ้นที่ดีมาก!

                OR จึงถือได้ว่า เป็น "ปั๊มน้ำมันมหาชน" แท้จริง

                น้ำมันทุกหยด กาแฟอเมซอนทุกแก้ว สินค้า-อาหาร และการบริการทุกชนิดในปั๊ม OR ที่เข้าไปใช้กัน

                ทุกบาท-ทุกสตางค์ เมื่อกำไร ไม่มีมุบมิบเข้ากระเป๋าไอ้โม่ง จะไหลคืนกลับในรูป "ปันผล" ไปยังกระเป๋าทุกคนที่ถือหุ้นมหาชนนี้

                ไม่ปรากฏนับแต่มีตลาดหุ้น ว่าหุ้นตัวไหน จะกระจายไปถึงประชาชน ได้มากกว่า ๕ แสนราย เหมือน OR!

                ตรงนี้ ต้องชมผู้ให้นโยบาย ปตท.ว่าต้องทำแบบนี้่ คือ "นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์" รองนายกฯ และ รมว.กระทรวงพลังงาน

                และต้องให้เครดิตผู้ทำคลอด OR จนเป็น "หุ้นมหาชน-มหาเฮง" ด้วย

                ความจริงมีหลายคน เพราะแนวคิด แยกการขายปลีกน้ำมันตามปั๊มออกไปเป็นอีกบริษัท ริเริ่มมาตั้งแต่สมัยคุณเทวินทร์ วงศ์วานิช อดีต CEO ต่อด้วยคุณชาญศิลป์ ตรีนุชกร

                "คุณอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์" ที่เป็น CEO ปตท.ปัจจุบันร่วมแนวคิดมาตั้งแต่สมัย CEO เทวินทร์ จนมาเป็น CEO ทำคลอดเองเมื่อวาน

                แต่คนที่อุ้มท้อง ประคบ-ประหงม OR มาตั้งแต่เป็นวุ้น จนเป็นหุ้นอั่งเปาวันนี้ คือ

                "คุณจิราพร ขาวสวัสดิ์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ OR

                เอาหละ ลำดับญาติเพื่อได้ทราบกันแล้ว ถึงประเด็นที่อยากจะคุยบ้างละ

                สิ่งแรก อยากบอก ปฏิกิริยาสนองตอบการเข้าตลาดของ OR สะท้อนว่า อย่าทึกทัก "ทุกอย่าง" ต้องคงที่

                "เศรษฐกิจ-สังคม" ยุคหนึ่ง รัฐบาลเท่านั้น คือผู้ลงทุุนและผูกขาดธุรกิจนั้นโดยรัฐ ในรูปรัฐวิสาหกิจ

                ถึงอีกยุคหนึ่ง อะไรที่ลงทุนโดยรัฐและรัฐผูกขาด ดูจะไม่สอดคล้องกับวิถีเศรษฐกิจและสังคมโลกที่วิทยาการและวิสัยทัศน์ของคนอีกยุค ก้าวจากกรอบหนึ่งไปยังอีกกรอบหนึ่งเสียแล้ว

                เมื่อก่อน คำว่า "การแปรรูป" คือ "การขายสมบัติชาติ" เป็นคำตอบโจทย์สังคม

                แต่วันนี้ ด้วย "นวัตกรรมเปลี่ยนโลก" สู่สังคมศตวรรษใหม่ การลงทุนโดยรัฐและรัฐผูกขาด เป็นตัวเหนี่ยวรั้งการพัฒนาสังคมชาติ มากกว่าชักลากสังคมชาติให้วิ่งฉิว

                ยุค "ทุนสร้างวัตถุ" มันหมดไปแล้ว

                วันนี้ ถึงยุค "วิทยาการสร้างทุน" หมายถึงว่า หมดยุครัฐบาลจะลงทุนทำอะไรเอง โดยที่วิทยาการยังไปไม่ถึง

                ฉะนั้น การนำรัฐวิสาหกิจบางส่วนเข้าตลาดทุน จะเป็นการสร้างมูลค่าให้ "สมบัติเสื่อมค่า" ที่ถูกต้องมากกว่า

                รัฐมีเงิน แต่ความคล่องตัวในโลกธุรกิจ บวกบุคลากรที่ถึงพร้อมวิทยาการเพื่อการพัฒนาต่อยอดสมบัติที่มีของรัฐ มันเพาะไม่ทัน

                ฉะนั้น ตัดบางส่วนเข้าตลาด....
                แล้วให้ระบบทุนคัดสรรบุคลากรถึงพร้อมด้วยวิทยาการนำไปบริหารพัฒนาต่อยอด โดยมีมหาชนเป็นแนวร่วม อย่างที่ ปตท.ตัดส่วนขายปลีกเป็นบริษัทลูกเข้าตลาด เป็นตัวอย่าง

                บริษัท ปตท.นั้่น.....

                วันนี้ เป็นยุคอุตสาหกรรมตกต่ำ นอกจากน้ำมันถูกแล้ว คนยังใช้น้อย ยิ่งอนาคต พลังงานทดแทนจะมาแทนที่น้ำมัน หมายถึงว่า ปตท.จะไม่รุ่งเหมือนตอนน้ำมันบาร์เรลละ ๑๒๐-๑๓๐ เหรียญฯ แล้ว

                อาจมองกันอย่างนั้น แต่ผมอยากบอกว่า ปตท.จะเป็นขุมทรัพย์ทางนวัตกรรมประเทศ ในมิติ "ศูนย์กลางการพัฒนาเทคโนโลยีไฮเทค"

                เราได้ยินคำว่า ๔.๐ ได้ยินคำว่า ๕ จี ได้ยินคำว่า นวัตกรรม ได้ยินคำว่า Smart City ได้ยินคำว่า New S-Curve กระทั่งคำว่า แซนด์บอกซ์ รวมทั้งคำว่า EEC

                เราได้ยินคำเหล่านั้น....

                เรารู้ว่า เหล่านั้น คือสรรพสิ่งที่รวมเรียกว่า "สังคมชาติศตวรรษใหม่" ขับเคลื่อนทุกอย่างด้วยเทคโนโลยี

                แต่เราจินตนาการตามไม่ทัน ทั้งมองไม่เห็นภาพ คือไม่รู้เลย ว่าสังคมประเทศที่นายกฯ ประยุทธ์กำลังปลุกปล้ำนำไปนั้น หน้าตามันเป็นยังไง?

                ผมอยากจะบอกเป็นภาพสรุปตรงนี้ว่า......

                ถ้าอยากเห็น ไทย-เมืองนวัตกรรม, ไทย-เมืองอัจฉริยะ ไทย-มิติ ๔.๐ ปานเมือง "วิทยาศาสตร์นิมิต" เหลียวมองหลังตกใจ นี้คือ "ประเทศไทย" จริงๆ หรือ?

                อยากให้ทุกคนไปดู ที่....

                "วังจันทร์วัลเลย์” ของ ปตท. ในเนื้อที่กว่า ๓,๐๐๐ ไร่ ที่จังหวัดระยอง

                พูดให้เป็นภาพว่า นี่คือ "เมืองนิมิต" ของประเทศไทยยุค นวัตกรรม ที่จะทำให้เห็นรูป-เห็นภาพของความเป็น EECi

                เติม i ลงไปอีกตัว เพราะมันคือ...

                Eastern Economic Corridor of Innovation; EECi

                "ฐานที่ตั้งของเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ส่งเสริมนวัตกรรมแบบครบวงจร ทั้งการวิจัยและพัฒนา รวมแหล่งที่อยู่อาศัยด้วยคุณภาพชีวิตยุคนวัตกรรม"

                เคยได้ยินคำว่า "ซิลิคอนวัลเลย์" ที่ซานฟราน สหรัฐฯ กันใช่มั้ย ....

                ที่เป็นแหล่งบุกเบิกพัฒนาชิ้นส่วนสำคัญใช้เก็บข้อมูลหน่วยความจำในระบบคอมพิวเตอร์ นั่นแหละ

                บริษัท สำนักงานด้านไอทีระดับโลก ตั้งอยู่ที่นี่ทั้งนั้น ไม่ว่า Apple, Facebook, Google, Hewlett Packard, Intel, Yahoo และ ฯลฯ

                "วังจันทร์วัลเลย์" ของ ปตท.ก็ซิลิคอนวัลเลย์ ของสหรัฐฯ ประมาณนั้่น เป็นเมืองอัจฉริยะและนวัตกรรมครบทุกด้าน

                ในเอเชีย ที่มีแบบซิลิคอนวัลเลย์ นอกจากที่วังจันทร์ ก็ที่สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน

                ซึ่งหมายถึงว่า ปตท.ทุกวันนี้ ขอได้เข้าใจกันใหม่....

                นอกจากธุรกิจ "ก๊าซ-น้ำมัน" และอุตสาหกรรมแตกแขนงต่อยอดธุรกิจเดิมแล้ว

                ปตท.ซุ่มสร้างอุตสาหกรรมนวัตกรรม คืออุตสาหกรรมใหม่ หลุดกรอบพลังงานเดิมไปเลย ไปสู่มิติอุตสาหกรรม ๗ ด้านของสังคมโลกศตวรรษใหม่ ชนิดน่าตื่นตะลึงมาก

                ทุกองค์กรในส่วนวิทยาการของประเทศ ตอนนี้รวมศูนย์เพื่อการวิจัย-พัฒนา-ทดลองอยู่ที่นั่น

                วังจันทร์วัลเลย์ เป็นศูนย์กลางพัฒนาเทคโนโลยีการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าและระบบการควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์

                วังจันทร์ของ ปตท.จะเป็นศูนย์กลางตัวนำสร้างแนวนำใหม่ในสังคมที่ผิดไปจากมิติเดิมชนิด ๑๐๐%

                แค่เปิดมิติก็หมดเนื้อที่....

                สรุปว่า "รัฐวิสาหกิจกับตลาดทุุน" ในมิติดิสรัปต์ ควรต้องเปลี่ยนทัศนคติบริหาร เพื่อไม่ทำสมบัติชาติให้เป็นฟอสซิล

                ตัวอย่างที่ควรแก้ได้ด้วยระบบทุน คือกิจการ ขสมก.

                หนี้เป็นแสนล้าน มันแก้ได้ ถ้าไม่กอดแต่คำว่า "สมบัติชาติ"

            ว่างๆ ค่อยคุยกันต่อ วันนี้เอาแต๊ะเอียไปเที่ยวแต๊ะอั๋งก่อน!


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"