สั่งจำคุกน้ำอุ่น8ปี มอมพริตตี้จนตาย


เพิ่มเพื่อน    


    จำคุก "น้ำอุ่น" 8 ปี มอมเหล้าลัลลาเบลจนตายขณะหิ้วขึ้นคอนโดฯ ทั้งที่หมดสติ ส่วนพวกอีก 5 คนทั้งชายหญิงเจอข้อหาสนับสนุนคนละ 5 ปี 4 เดือน และต้องร่วมกันชดใช้กว่า 7 แสน พ่อเหยื่อพ้อ ถึงติดคุกสุดท้ายมันก็ออกมาได้อยู่ดี แต่ก็พอใจที่ลูกได้รับความยุติธรรม
    เมื่อวันที่ 14 ตุลาคมนี้  ที่ศาลอาญาธนบุรี ถนนเอกชัย ศาลอ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการคดีอาญาธนบุรี 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายรัชเดช หรือน้ำอุ่น วงศ์ทะบุตร จำเลยที่ 1, นายชัยพล หรือคิว พรรณนา เจ้าของงานปาร์ตี้บ้านบางบัวทอง จำเลยที่ 2, นายนที หรือตี๋ สถิตพงษ์สถาพร จำเลยที่ 3, น.ส.พิกุลทอง หรือเฟิร์ส บุญภา แฟนสาวของคิว จำเลยที่ 4, นายกฤษฎา หรือโนบิ โลหิตดี จำเลยที่ 5, นายโกเศศ หรือปิงปอง ฤทธิ์นิธิฤกษ์  จำเลยที่ 6 ในความผิด 4 ข้อหาฐานเป็นซ่องโจร, พาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้าย ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรมหรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการใดๆ, กระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่า 15 ปีโดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยบุคคลนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้, หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นหรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และเป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวถูกกักขังหรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 210, 213, 278, 284, 310 ประกอบมาตรา 83, 91
    กรณีจำเลยทั้ง 6 มีงานเลี้ยงโดยมีการดื่มสุราที่บ้านแห่งหนึ่งใน อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี แล้วจ้าง น.ส.ธิติมา หรือลัลลาเบล นรพันธ์พิพัฒน์ อายุ 26 ปี ให้มาเป็นพริตตี้ชงเหล้าร่วมเต้นรำและร่วมดื่มสุรา โดยจำเลยทั้ง 6 มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ น.ส.ธิติมา ดื่มสุราจนเมาและอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ แล้วนายรัชเดช จำเลยที่ 1 ได้พาพริตตี้ลัลลาเบล ซึ่งขณะนั้นมีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ในเลือดสูงมากอยู่ในภาวะมึนเมา โดยใช้กำลังประทุษร้ายไปอนาจาร และอุ้มแบกออกจากบ้านหลังดังกล่าวไปขึ้นรถยนต์ของจำเลยที่ 1 แล้วพาไปที่ห้องพักคอนโดฯ ย่านดาวคะนอง แขวงดาวคะนอง เขตธนบุรี กทม. แล้วจำเลยที่ 1 พาพริตตี้ลัลลาเบลที่อยู่ในภาวะไม่สามารถขัดขืนได้ไปบนห้องพัก เป็นเหตุให้ถูกหน่วงเหนี่ยวกักขัง ต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายและถึงแก่ความตาย ส่วนจำเลยที่ 2-6 ร่วมกันสนับสนุนการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 
    วันนี้ จำเลยทั้งหมดที่ได้ประกันตัว เดินทางมาฟังคำพิพากษา พร้อมทนายความ
    ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า การกระทำความผิดของจำเลยทั้งหก มีพยานโจทก์เบิกความยืนยันในชั้นศาล สอดคล้องกับคำให้การชั้นสอบสวน ภาพจากกล้องวงจรปิด คลิปวิดีโอจากโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยทั้งหก บันทึกการสนทนาในแอปพลิเคชันไลน์ รายงานผลการสืบสวนพฤติกรรมของบุคคล บันทึกการชี้ตัวของพยานซึ่งได้กระทำทันทีหลังเกิดเหตุ ผลการชันสูตรพลิกศพ และผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ น่าเชื่อ รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้กระทำอนาจารผู้ตาย โดยใช้กลอุบายหลอกล่อให้ผู้ตายดื่มสุราในปริมาณมาก เพื่อให้ผู้ตายหมดสติอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ และได้พาผู้ตายซึ่งหมดสติขึ้นรถยนต์ไปที่คอนโดฯ ของจำเลยที่ 1 โดยมีเจตนาที่จะล่วงละเมิดทางเพศผู้ตาย ทั้งพยานโจทก์ปากนายแพทย์ผู้ชันสูตรพลิกศพให้ความเห็นว่า ผู้ตายเสียชีวิตในช่วงเวลา 15 นาฬิกา ถึง 19 นาฬิกา ระหว่างที่จำเลยที่ 1 พาผู้ตายขณะหมดสติไปยังห้องในคอนโดฯ ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ย่อมเล็งเห็นได้ว่าผู้ตายอาจจะได้รับอันตรายถึงชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที 
    การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการหน่วงเหนี่ยวกักขังเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ส่วนจำเลยที่ 2 ถึงจำเลยที่ 6 เคยเข้าร่วมงานเลี้ยงในลักษณะนี้มาก่อน รู้ว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนามอมเหล้าผู้ตาย แต่ไม่ขัดขวางห้ามปราม กลับชักชวนให้ผู้ตายดื่มสุรา และยอมให้จำเลยที่ 1 พาผู้ตายซึ่งหมดสติออกไปจากงานเลี้ยง การกระทำของจำเลยที่ 2 ถึงจำเลยที่ 6 ดังกล่าวถือว่าเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 ในการพาผู้ตายไปเพื่อการอนาจาร และในการที่จำเลยที่ 1 หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้ตายซึ่งอยู่ในสภาพหมดสติมีอาการโคม่า แต่จำเลยที่ 1 กลับไม่พาไปรักษาที่โรงพยาบาล จำเลยที่ 2 ถึงจำเลยที่ 6 จึงเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 กระทำความผิด การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดฐานกระทำอนาจาร ฐานพาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจาร และฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวกักขังถึงแก่ความตาย ความผิดทั้งสามฐานดังกล่าว จำเลยที่ 1 กระทำต่อเนื่องเชื่อมโยงในวาระเดียวกัน โดยมีเจตนาเพื่อกระทำอนาจารและล่วงละเมิดในทางเพศผู้ตาย จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท 
    ให้ลงโทษฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวกักขังถึงแก่ความตายซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักสุด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 ส่วนจำเลยที่ 2 ถึงจำเลยที่ 6 เป็นผู้สนับสนุนให้จำเลยที่ 1 กระทำความผิดดังกล่าว สำหรับฐานซ่องโจร โจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้เห็นว่า จำเลยทั้ง 6 สมคบหรือตกลงจะกระทำความผิดแต่อย่างใด จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ถึงจำเลยที่ 6 เป็นเพียงผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 เท่านั้น ยกฟ้องในความผิดฐานซ่องโจร
    พิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1 นายรัชเดช หรือน้ำอุ่น ฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตาย ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักสุด ให้จำคุก 8 ปี ส่วนจำเลยที่ 2-6 ให้ลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิดดังกล่าว จำคุกคนละ 5 ปี 4 เดือน และให้จำเลยทั้ง 6 ร่วมกันชดใช้ค่าสินใหม่แก่โจทก์ร่วมจำนวน 748,660 บาท
    ต่อมาศาลอนุญาตให้จำเลยได้ประกันตัวระหว่างอุทธรณ์ จำเลยที่ 1 ตีราคาประกัน 350,000 บาท จำเลยที่ 2-6 ตีราคาประกันคนละ 150,000 บาท
    ด้านนายชวลิต และนางศุภามาศ นรพันธ์พิพัฒน์ บิดาและมารดาของ น.ส.ธิติมา หรือลัลลาเบล กล่าวทั้งน้ำตาว่า พอใจกับคำพิพากษาของศาล ตลอด 1 ปีที่ผ่านมากว่าจะผ่านไปแต่ละวันยากลำบาก วันนี้เหมือนคืนความยุติธรรมให้กับลูกสาว และจะเลี้ยงน้องแบมแบม หลานสาวให้ดีที่สุด เนื่องจากทุกวันนี้ หลานยังถามหาแม่อยู่บนสวรรค์ มีเครื่องบินแล้วเมื่อไหร่จะกลับมา
     "คำพิพากษา ถึงแม้ว่ามันจะติดคุก แต่สุดท้ายมันก็ออกมาได้อยู่ดี แต่ลูกสาวของผมไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้ ทุกวันนี้ทำงานหนักมาก เหมือนต้องนับหนึ่งใหม่หมดเลย หลังจากที่เกิดเรื่อง อีกฝ่ายก็ไม่เคยแม้แต่จะติดต่ออะไรกลับมาเลย" นายชวลิตกล่าว.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"