คดี‘บอส’หลอน ให้‘อัยการ’ออก เนตรยังเชื่อมั่น

คดีบอส อยู่วิทยา ยังหลอน   “ก.อ.” มีมติเอกฉันท์เห็นด้วยกับอัยการสูงสุดให้ “ชัยณรงค์ แสงทองอร่าม” ออกจากราชการ หลังแนะนำทำสำนวนเรื่องความเร็ว “เนตร” เปิดใจ ย้ำหากย้อนเวลากลับได้ก็สั่งไม่ฟ้องบอสเหมือนเดิม!

เมื่อวันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม มีรายงานข่าวจากการประชุมคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) ว่าในการประชุมเมื่อวันที่ 23 พ.ย. มีวาระพิจารณาลงมติผลการสอบสวนวินัยร้ายเเรงนายชัยณรงค์ แสงทองอร่าม   หรืออัยการ ช.ช้าง อดีตอัยการอาวุโส ซึ่งอยู่ในห้องเปลี่ยนความเร็วคดีที่นายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา คดีขับรถชนตำรวจเสียชีวิตเมื่อปี 2555 ซึ่งถูกกล่าวหาว่านายชัยณรงค์ให้คำแนะนำในการทำสำนวนว่าในการกำหนดความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม. โดยนายชัยณรงค์ได้ลาออกจากราชการไปก่อนหน้านี้ ซึ่งต่อมา ก.อ.ได้มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง

ทั้งนี้ ผลการสอบสวนวินัยร้ายแรงเห็นว่าการกระทำของนายชัยณรงค์เป็นความผิดตามที่ถูกกล่าวหาในกรณีที่ไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแก้ไขเวลาความเร็ว และไม่ทุ่มเทให้ราชการ เนื่องจากขณะที่เข้าไปมีส่วนในการแก้ไขเวลาความเร็วอยู่ในเวลาทำงานราชการ คณะกรรมการฯ เห็นว่าการกระทำเป็นความผิดวินัยร้ายแรงเสนอให้ลงโทษไล่ออกจากราชการ ต่อมาสำนักงาน ก.อ.พิจารณาเเล้ว เห็นว่าเป็นความผิดวินัยไม่ร้ายแรง เห็นควรงดความดีความชอบ 3 ปี พร้อมส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดพิจารณา โดย น.ส.นารี ตัณฑเสถียร อัยการสูงสุด (อสส.) พิจารณาเเล้วเห็นว่า การกระทำของนายชัยณรงค์เป็นความผิดวินัยร้ายแรง แต่เนื่องจากนายชัยณรงค์ไม่เคยมีประวัติเสื่อมเสีย หรือถูกตั้งกรรมการสอบวินัยและอุทิศตนราชการมาตลอดยกเว้นกรณีนี้ จึงเห็นควรลดโทษให้ออกจากราชการ ซึ่งที่ประชุม ก.อ.มีมติเสียงข้างมากเมื่อวันที่ 23 พ.ย.เห็นด้วยกับ อสส.ลงโทษให้ออกจากราชการ

ขณะที่นายเนตร นาคสุข อดีตรอง  อสส. ที่มีคำสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ ซึ่งภายหลัง ก.อ.มีมติให้ออกจากราชการ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 11 ก.ค. ได้ยื่นฟ้องนายพชร ยุติธรรมดำรง ประธาน ก.อ. และนายสิงห์ชัย ทนินซ้อน อดีต อสส.ต่อศาลปกครองสูงสุดเกี่ยวกับมติดังกล่าว เพื่อเพิกถอนคำสั่งลงโทษให้ออกจากราชการดังกล่าว เพราะการสั่งคดีนายวรยุทธเป็นการพิจารณาสั่งคดีที่ชอบด้วยกฎหมายทุกประการ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเเสวงหาข้อเท็จจริงของศาลปกครอง ซึ่งกว่าจะถึงวันนัดพิจารณาคดีครั้งเเรกคงยังอีกนาน

“การสั่งคดีดังกล่าวเป็นการสั่งคดีตามพยานหลักฐานผ่านการทำความเห็นของพนักงานอัยการตามลำดับชั้นมา 3-4คนที่เห็นสั่งไม่ฟ้อง ซึ่งพอผมมาพิจารณาพยานหลักฐานดูเเล้วก็เห็นควรสั่งไม่ฟ้อง เพราะไม่เชื่อว่านายวรยุทธกระทำผิด การสั่งคดีเป็นไปตามพยานหลักฐานที่ได้จากพนักงานสอบสวน” นายเนตรระบุ

นายเนตรยังอธิบายว่า คดีมีประจักษ์พยานผู้เห็นเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ท.จำนวน 2 คน เเละนายจารุชาติ มาดทอง ที่ให้การความเร็วไม่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด รวมถึงการให้ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะเป็น พ.ต.ท.สมยศ แอบเนียม ที่ให้ความเห็นว่าความเร็วรถไม่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด โดยการเอารอยรถชนกันมาเทียบเคียงเเล้วพบว่าการชำรุดมีไม่มาก และผู้เชี่ยวชาญของศาลในทางตรวจพิสูจน์เครื่องและอุปกรณ์ส่วนควบของยานยนต์ที่เกี่ยวเนื่องกับอุบัติเหตุ กองบังคับการตำรวจจราจร ที่ขึ้นทะเบียนกับศาลยุติธรรม อย่าง พ.ต.ท.สุรพล เดชรัตนวิชัย ที่ให้ความเห็นไว้อย่างละเอียด เเต่สรุปได้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่นายวรยุทธ จำเลย จะขับด้วยความเร็วถึง 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รวมถึง รศ.ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม ต่างให้ความเห็นตรงกันหมดว่าความเร็วไม่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด จะมีก็คือ พ.ต.ต.ธนสิทธิ แตงจั่น ที่ให้การว่าจำเลยขับรถเร็ว 179 กม./ชม. เเต่มาภายหลังกลับคำให้การ โดยคำนวณใหม่ ซึ่งก็อ้างว่าคำให้การในตอนเเรกนั้นไม่ถูกต้องเนื่องจากความรีบเร่ง เเละก็มีการใช้วิธีคำนวณใหม่ที่เชื่อถือได้ว่าความเร็ว 79 กม./ชม.

“เมื่อผมพิจารณาเเล้วก็เห็นว่าวิธีการคำนวณใหม่น่าเชื่อได้ ประกอบกับดูพยานหลักฐานหลายอย่าง จึงมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ ถ้าให้ย้อนกลับไปทำคำสั่งใหม่ตามพยานหลักฐานที่ปรากฏ ผมก็จะยังคงสั่งไม่ฟ้อง เพราะเขาไม่ผิด เเต่หลังจากนี้ผมไม่ขอพูดอะไรมาก เนื่องจากคดีอยู่ในการพิจารณาของศาลปกครองเเล้ว” นายเนตรระบุ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง