สังคม 4.0 กับการเมือง 0.4


เพิ่มเพื่อน    

        ในจำนวนผู้ยื่นขอจดทะเบียนพรรคการเมืองที่เกือบจะถึงร้อยพรรคเข้าไปแล้ว...ดูเหมือนจะมีอยู่ 2 พรรค ที่ก่อให้เกิดมุมมองที่ขัดแย้ง แตกต่าง ก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมในการแสดงความเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย ต่อการเปิดพื้นที่ หรือไม่เปิดพื้นที่ ให้พรรคเหล่านี้พอได้มีที่ยืน ภายใต้การแข่งขันทางการเมืองในระบบ จัดสรรปันส่วนผสม ตามรูปแบบเลือกตั้งครั้งใหม่...

                                      ---------------------------------------------

        พรรคแรกก็คือ พรรคอนาคตใหม่ ของคุณน้อง ธราธร ไทยซัมมิต และอาจารย์ ปิยบุตร ณ นิติราษฎร์ ที่ถูกโยงเอาความเคลื่อนไหว ทัศนคติ หรือการแสดงออกเมื่อครั้งอดีตของบรรดาคนรุ่นใหม่เหล่านี้ ไปพัวพันกับแนวโน้มทางการเมืองในอนาคต จนกลายเป็นที่ตกอก ตกใจ ไหวหวั่น สั่นประสาท มิใช่น้อย โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ รักชาติ-ศาสน์-กษัตริย์ ทั้งหลาย ถึงขั้นขนาด เสธ.ไพศาล ผู้อ่านพงศาวดาร สามก๊ก มาซักประมาณ 100 เที่ยวเป็นอย่างน้อย ยังอดไม่ได้ที่จะต้องออกมาขู่ขวัญใครก็ตาม ที่คิดอนุมัติ อนุญาต ให้กลุ่มคนเหล่านี้จัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาได้ อาจต้องเข้าซังเตแบบ สามหนา-ห้าห่วง ในอดีต เอาเลยถึงขั้นนั้น...

                                     -------------------------------------------

        ส่วนอีกพรรคก็คือ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ที่แม้ไม่มีใครออกมาขู่ขวัญเอาไว้ก่อนล่วงหน้าก็ตาม แต่ดูเหมือน กกต. ท่านจะขวัญหนี ดีฝ่อ ไปเรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว ทำท่าว่าคงไม่คิดจะอนุมัติ อนุญาต ให้จัดพรรคที่ว่าขึ้นมาได้ง่ายๆ แม้ว่าประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ทุกวันนี้จะ ร่วมมืออย่างใกล้ชิด กับคอมมิวนิสต์ ถึงขั้นซื้อรถถง รถถัง เปิดโอกาสเปิดพื้นที่ประเทศไทย ให้คอมมิวนิสต์เข้ามาสร้างรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงเส้นทางจากประเทศคอมมิวนิสต์จีน ผ่านมายังคอมมิวนิสต์เวียดนาม และคอมมิวนิสต์ลาว มาบรรจบที่ประเทศไทยแบบชิลๆ เอามากๆ แต่จะด้วยความ รักชาติ-ศาสน์-กษัตริย์ หรือด้วยความรู้สึกว่า ประชาชนยังไม่หายโง่ หรือไม่ อย่างไร ก็มิอาจทราบได้ แนวโน้มที่ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย จะเข้ามา จัดสรรปันส่วนผสม ในการเลือกตั้งครั้งใหม่ ดูๆ แล้ว...น่ายากซ์ซ์ซ์เต็มที...

                                   -----------------------------------------------

        ทั้งๆ อันที่จริงแล้ว...ภายใต้สังคม 4.0 หรือสังคมดิจิตอล อะไรต่อมิอะไรมันน่าจะ ไปไกล กว่าความไหวหวั่น สั่นประสาทในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ กันเยอะแล้ว คอมมิวนิสต์หรืออดีตคอมมิวนิสต์ไทยจำนวนไม่น้อย ได้แปรสภาพเป็น คอมมิวนิสต์รักษาพระองค์ กันไปตามสมควร คือเป็นพวกที่ไปด้วยกันได้ กับบรรดาผู้ที่ รักชาติ-ศาสน์-กษัตริย์ ทั้งหลาย ถึงขั้นร่วมนอนกลิ้ง นอนหงาย ต่อสู้กับพวก ทุนนิยมสามานย์ กลางท้องถนนแบบเคียงบ่า-เคียงไหล่ ไม่รู้กี่ยกต่อกี่ยก ส่วนพวกที่เคยร่วมมือ ร่วมใจ กับทุนสามานย์ พวกที่คิดว่าประชาธิปไตยคือสิ่งที่กินก็ได้ ทาก็ได้ อม-หยอด-สอด-เสียบ ได้ด้วยกันทั้งสิ้น ก็ไม่ได้ถึงกับน่าเกลียด น่ากลัว เหมือนอย่างช่วง ทศวรรษแห่งความมืดมน มากมายซักเท่าไหร่นัก หลายต่อหลายเริ่มแปรสภาพมาเป็นผู้ที่อยากจะ ก้าวข้ามทักษิณ ไปสู่อนาคตใหม่ ที่แม้ว่าตัวเองจะยังไม่รู้ชัดเจนว่าเป็นอะไรกันแน่ ด้วยเหตุเพราะความเป็นคนรุ่นใหม่ ที่อาจยังไม่ถึงกับเติบโตจนมีวุฒิภาวะในระดับเต็มสูบ เต็มร้อย...

                                  --------------------------------------------------

        แต่ทั้ง คอมมิวนิสต์รักษาพระองค์ และ คนรุ่นใหม่ที่ยังไม่รู้อนาคต เหล่านี้...ล้วนแล้วแต่มิอาจปฏิเสธได้ว่า ก็คือ ปวงชนชาวไทย ทั้งหลายนั่นแล มีสิทธิ์ มีเสรี และมีโอกาสที่จะมีส่วนร่วมกับความเป็นไปของประเทศไทยทุกวันนี้และในอนาคตเบื้องหน้า อย่างมิอาจกีดกันออกไปได้โดยเด็ดขาด แม้จะอาศัยกฎหมาย ค่านิยม ทัศนคติใดๆ ก็ตาม เพราะสิ่งที่เป็นความคิด ความหวัง ความตั้งใจ มันก็ยังคง ดำรงอยู่ เช่นเดิมนั่นเอง หรือยังไงๆ...ย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องหาทาง จัดสรรปันส่วนผสม ให้เกิดความลงตัวขึ้นมาให้จงได้ ไม่เช่นนั้น...การเดินหน้าไปสู่สังคม 4.0 ขณะที่การเมืองยังไปไม่ไกลเกินกว่า 0.4 ย่อมก่อให้เกิดอาการ หัวมังกุ-ท้ายมังกร เกิดแรงเสียดสี เสียดทาน อันนำไปสู่ความขัดแย้ง แตกแยก ขึ้นมาอีกจนได้...

                                 ------------------------------------------------------

        ความหวั่นไหว หวาดระแวง ที่ยังคงมีอยู่ในตัวบทกฎหมาย ทัศนคติ หรือค่านิยมใดๆ ก็ตาม จึงคงต้องหยิบมาทบทวน ใคร่ครวญและพิจารณากันโดยละเอียด ว่ามันสอดคล้องกับ การเดินหน้าประเทศไทย ไปสู่เป้าหมายแห่งความปรองดอง ความสมานฉันท์ หรือความ รู้-รัก-สามัคคี มาก-น้อยขนาดไหน ถ้าหากเพียงแค่เด็กๆ ที่เขายังอาจไม่ได้เติบโตเต็มที่ ยังต้องผ่านอะไรอีกเยอะแยะมากมาย แต่ก็ดันถูกทำให้น่าเกลียด น่ากลัว จนไม่คิดจะเปิดโอกาส เปิดพื้นที่ใดๆ ให้เลยแม้แต่น้อย มุ่งแต่จะ ทุบหลัง แบบพลั่กๆๆ ไปโดยตลอด หรือคอมมิวนิสต์แก่ๆ ที่หมดเชื้อ หมดไฟ จนกลายสภาพเป็น คอมมิวนิสต์รักษาพระองค์ กันไปหมดแล้ว จะยังพยายามกีดกันไม่ให้มีโอกาสได้นั่งรถไฟความเร็วสูงกันบ้างเลย อันนี้นี่แหละ...ที่ย่อมส่งผลให้ สังคม 4.0 กับ การเมือง 0.4 มันอาจเกิดการปะทะ ขัดแย้ง ภายในตัวของมันเอง...

                               --------------------------------------------------------

        ด้วยเหตุนี้...ก็อย่าถึงกับต้องไป เกร็ง ไปไหวหวั่น สั่นสะท้าน อะไรกันมากมาย ไหนๆ ประชาธิปไตย ก็ได้ผนวกรวมเอา ความเป็นไทย เข้าไปต่อท้าย จนเกิดลักษณะพิเศษของตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว เพราะ ความเป็นไทยแท้แต่โบราณ นั้น ก็คือการ เปิดกว้าง ให้กับใครต่อใคร ไม่ว่าแขก-จีน-จาม-มอญ-พม่า-เขมร ฯลฯ ที่เข้ามาพึ่ง พระบรมโพธิสมภาร จนกลายเป็น ไทย ถึงขั้นเติบโตขึ้นเป็นขุนน้ำ ขุนนาง แม้แต่เป็นพระมหากษัตริย์เอาเลยก็ยังมี ประชาธิปไตยแบบไทยๆ จึงน่าที่จะเปิดโอกาส เปิดพื้นที่ ให้กับ บุพเพสันนิวาส ใดๆ ได้ด้วยกันทั้งสิ้น...

                             -------------------------------------------------------

        ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Reinhold Niebuhr... “Man’s capacity for justice makes democracy possible, but man’s inclination to injustice makes democracy necessary.- ความปรารถนาในความยุติธรรมของคน ช่วยให้มีประชาธิปไตย แต่ความโน้มเอียงของคนไปในทางที่ไม่ยุติธรรม ทำให้ประชาธิปไตยเป็นสิ่งจำเป็น...”

                                  --------------------------------------------------


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"