เสวนายุติธรรมภิวัฒน์ 'พระพยอม' สวดยุติธรรมไทยกำลังป่วย!


เพิ่มเพื่อน    


23 มี.ค. 61 -  ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กลุ่มยุติธรรมภิวัฒน์ร่วมกับเครือข่ายจิตอาสาเพื่อสังคม จัดงานเสวนาในหัวข้อ ”เสวนายุติธรรมภิวัฒน์” เพื่อให้ความรู้และสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับความยุติธรรมในสังคมไทยโดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวเนื่องจากการต่อสู้ของประชาชนในการทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ โดยมี  พระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว นายไพบูลย์ นิติตะวัน ฃอดีตสมาชิกสภาปฏิรุปแห่งชาติ(สปช.)นายประยงค์ ไชยศรี ตัวแทนกลุ่มยุติธรรมภิวัฒน์ ร่วมเสวนา

พระพยอม กล่าวว่าความยุติธรรมต้องเกิดจาก ธรรม โดยชอบธรรม เพื่อธรรม แต่ความยุติธรรมไทยขณะนี้อยู่ในภาวะป่วย เนื่องจากมีบางคดีที่ถูกตัดสินไปแล้วอย่างเด็ดขาด แต่เมื่อมีคนไปร้องใหม่ พร้อมค่าธรรมเนียม ศาลก็รับฟ้อง ส่งผลให้มีคดีใหม่เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องสุมกับคดีเก่า ยิ่งทำให้มีคดีเต็มไปหมด 

เช่นเดียวกับคดีโฉนดที่ดินของตนที่เวลาผ่านไปนานมากแล้ว และกฎหมายบางมาตราระบุว่าถ้าใครได้รับการรับโอนที่ดิน ภายในระยะเวลาที่กำหนด ไม่เกิน 1 ปี ภายหลังศาลตัดสินคดีไปแล้ว หากจะมีการร้องคัดค้าน ต้องดำเนินการในช่วงเวลาที่กำหนด แต่กรณีนี้ ตนเริ่มดำเนินการถมที่ และก่อสร้าง ไปแล้ว 2 ปี 7 เดือน แต่อยู่ดีๆ โฉนดที่ตนถือ อยู่กลับกลายเป็นสิ่งไม่มีค่าไปเสียอย่างนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่า เรื่องผ่านไปเลยระยะเวลาที่กำหนด แต่ทำไมถึงมีการขุดมาดำเนินการใหม่ได้

“มีลูกศิษย์มาเล่าให้อาตมาฟัง วันที่มีการตัดสินคดี ฝ่ายที่ชนะคดีได้พูดในงานเลี้ยง ว่า ต่อให้เป็นพระดี พระดัง สร้างบารมีแค่ไหน มันก็สู้เทคนิคทางกฎหมายของพวกเราไม่ได้”เจ้าอาวาส วัดสวนแก้ว ระบุ

ขณะที่นายไพบูลย์  กล่าวว่าปัญหาความยุติธรรมที่ไม่เกิดขึ้น เกิดจากผู้มีอำนาจในกระบวนการยุติธรรม และตัวบทกฎหมายต่างๆ ที่เอื้อต่อผู้มีอำนาจ อาทิกฎหมายที่ยังมีความคลุมเครือ ส่งผลให้ผู้มีอำนาจใช้เป็นเครื่องมือ รวมทั้งปัญหาความเข้มแข็งของการตรวจสอบถ่วงดุลโดยภาคประชาชน ผ่านกลไก การชุมนุม หรือการร้องทุกข์ตามกระบวนที่กำหนด แต่กระบวนการเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เราเข้าสู่เป้าหมาย กลับกลายเป็นว่า ยิ่งทำยิ่งผิดกฎหมายที่บัญญัติ ทำให้ผู้มีอำนาจนำกฎหมายเหล่านั้นมาบังคับเป็นคดีความต่อไป 

"หากต้องการให้เกิดความยุติธรรม ประชาชนต้องมีอำนาจเพิ่มโดยใช้กลไกลของกฎหมาย โดยการศึกษากฎหมาย เพื่อใช้ต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งในชั้นพนักงานสอบสวน ได้แก่ ตำรวจ และดีเอสไอ ชั้นอัยการ ซึ่บางกรณี มีการใช้อำนาจโดยมิชอบ แต่ประชาชนส่วนใหญ่กลับไม่ฟ้องอัยการ เพื่อไม่ได้ศึกษาข้อกฎหมาย ได้เพียงแค่ก่นด่า ทั้งที่ประชาชนสามารถฟ้องอัยการได้ ความยุติธรรมจะไม่เกิดขึ้นเลย หากตัวท่านเองไม่ดำเนินการ"

นายประยงค์ กล่าวว่า กฎหมายในประเทศไทยศักดิ์สิทธิ์เฉพาะกับบรรดาชาวบ้าน แต่ไม่ได้รวมถึงนักการเมืองหรือข้าราชการระดับสูงที่ทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งที่ผ่านมาภาคประชาชนกลุ่มต่างๆ ทั้งกลุ่มพันธมิตรฯ องค์กรพิทักษ์สยาม และ กปปส.  ต่างต่อสู้เพื่อความยุติธรรมมาโดยตลอด ซึ่งพวเขาเหล่านี้ เป็นคนที่ออกมาต่อสู้เพื่อบ้านเมือง ปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ เคารพและเชื่อมั่นต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งกลุ่มที่เคลื่อนไหวล้วนมีสิทธิตามรัฐธรรมนสูญที่จะออกมาขับไล่รัฐบาลที่ไม่รักษาผลประโญชน์ของประเทศชาติ ตามม.69 แต่ทำไมถึงยังต้องโดนคดีกบฎ และก่อนการร้าย ตนจึงอยากถามว่า ใครเป็นคนที่ทำให้พวกเราเป็นกบฎ และเป็นภัยต่อความมั่นคง

“ความรุนแรงที่เกิดขึ้นช่วงที่มีการชุมนุมนั้น เกิดขึ้นจากฝ่ายรัฐบาลทั้งสิ้น และการชุมนุมของพันธมิตรฯ ทำให้ประชาชนรักสถาบันพระมหากษัตริย์มากขึ้น มีความจงรักภักดีมากขึ้นและยังทำให้ประชาชนหูตาสว่าง นอกจากนี้ ข้อมูลที่พันธมิตรฯนำเสนอต่อประชาชนนั้น ส่งผลให้ผู้ที่ทุจริตถูกลงโทษไปหลายราย และการชุมนุมครั้งนั้น ทำให้ประชาชนทราบว่า ระบอบทักษิณมีอยู่จริง เช่นเดียวกับการจ้องล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่นเดียวกัน” นายประยงค์กล่าว


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"