25 เม.ย.61 - ดร.มานะ นิมิตมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอรัปชั่น (ประเทศไทย)  โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุข้อความสั้นๆว่า...

นานกว่า 8 เดือนแล้วที่ไม่มีการประชุม “คณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ” (คตช.) นี่เป็นอีกตัวอย่างที่ทำให้สังคมต้องตั้งคำถามว่า รัฐบาลยังเอาจริงเรื่องปราบคอร์รัปชันอยู่หรือเปล่า

ดร.มานะให้สัมภาษณ์ สำนักข่าวสปริงนิวส์ว่า ในปี 2560 มีการเรียกประชุมแค่ 2 ครั้ง และปี 2561 ยังไม่มีการเรียกประชุมเลย  อนุกรรมการชุดต่างๆเท่ากับหยุดทำงานไปโดยปริยาย เราฟังมาว่าจะเรียกประชุม 3 เดือนครั้งเพราะต้องดูเวลาของนายกรัฐมนตรี  แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มี  

เขากล่าวว่าเราอย่ามุ่งว่าเป็นรัฐบาลแล้วจะเข้ามาแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ควรวางกลไกอย่างไรแก้ปัญหาระยะยาวของประเทศ และที่ผ่านมาใช้กลไกพิเศษแก้ปัญหา เมื่ออำนาจคสช.หมดไปมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร  วันนี้ฝีคอร์รัปชั่นแตกไปหมด เพราะระบบตรวจสอบในกระทวง ทบวง กรม ไม่มีประสิทธิภาพ  เราจึงต้องแก้ไขปัญหาระยะยาว  ถ้าเราหวังภาครัฐไม่ได้ ประชาชนก็ต้องเดินหน้าต่อไป

นอกจากนี้ช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา ดร.มานะ โพสต์ข้อความในลักษณะเดียวกันนี้ โดยระบุว่า..

ผมเห็นด้วยที่รัฐบาลชี้แจงว่า คดีคอร์รัปชันจำนวนมากที่กำลังเป็นข่าวดังจากการเปิดโปงของประชาชนและสื่อมวลชนในขณะนี้ หลายคดีเกิดขึ้นในยุครัฐบาลก่อนๆ โดยที่หลายคดียังทำกันคงต่อเนื่องมาแต่เพิ่งถูกแฉให้สังคมรับรู้

แต่รัฐบาล คสช. ได้เข้ามาบริหารประเทศอย่างต่อเนื่องมาจนใกล้จะครบสี่ปีแล้ว มีทหารเข้าไปนั่งอยู่แทบทุกกระทรวงและรัฐวิสาหกิจ ทั้งยังมีอำนาจพิเศษตาม ม. 44 อยู่ในมือทำให้สามารถควบคุมเงื่อนไขสารพัดเรื่องได้ 

ดังนั้น การที่คดีต่างๆ ยังโกงกันต่อเนื่องมาจนบัดนี้ โดยรัฐมนตรีไม่ล่วงรู้ ไม่สามารถป้องกันแก้ไขหรือตรวจสอบเอาคนผิดมาลงโทษและชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้น หลายคดีจึงเกิดข้อกังขาของสังคมว่า เป็นเพราะบกพร่องหรือถูกปิดบังหรือว่ามีส่วนรู้เห็นกันแน่

และจากข่าวสารที่ปรากฎผ่านสื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ก็มีคดีคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาของรัฐบาลนี้จำนวนมากเช่นกัน อย่างเช่น การทุจริตในโครงการ 9101 ทุจริตโครงการในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทุจริตในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งข่าวอื้อฉาวของบุคคลชั้นนำเกี่ยวกับคอร์รัปชันที่รอการพิสูจน์อีกหลายราย

จากที่เห็นมีเพียง “กระทรวงศึกษาธิการ” เท่านั้น ที่แสดงความกล้าหาญอย่างน่ายกย่องในการตรวจสอบพบและดำเนินคดีในหลายโครงการของกระทรวง อย่างกรณีทุจริตกองทุนเสมาฯ การจัดซื้อกล้องวงจรปิดใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ การจัดซื้อสื่อการเรียนการสอนทั่วประเทศ ฯลฯ

ผลงานเหล่านี้ทำให้เกิดความตื่นตัวของประชาชนและข้าราชการกระทรวงศึกษาในทางที่ดีหากรัฐมนตรีกระทรวงอื่นๆ สามารถทำแบบนี้ได้บ้าง ก็จะเป็นผลงานของรัฐบาลที่ถูกใจประชาชนอย่างยิ่ง.