BTS ไม่ทนแล้วจ่อฟ้องศาลปกครอง หลัง กทม. นิ่ง-ค้างหนี้ 3 หมื่นล้าน


เพิ่มเพื่อน    


26เม.ย.64-นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC ผู้ให้บริการรถไฟฟ้า BTS เปิดเผยว่า ตามที่เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2564 BTSC ได้ทำหนังสือส่งถึงบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด และกรุงเทพมหานคร (กทม.) เรื่องขอให้ชำระค่าจ้างเดินรถและค่าซื้อระบบการเดินรถ (ไฟฟ้าและเครื่องกล) พร้อมติดตั้ง ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย ซึ่งครบกำหนด 60 วัน เมื่อช่วงต้น เม.ย. 2564 ที่ผ่านมาแล้วนั้น 

ทั้งนี้ มูลค่าหนี้สะสมตั้งแต่ เม.ย. 2560-มี.ค. 2564 รวมสูงกว่า 3 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น หนี้ในการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 1 คือ ช่วงสะพานตากสิน-บางหว้า ช่วงอ่อนนุช-แบริ่ง และส่วนต่อขยายที่ 2 คือ ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย ซึ่งมีจำนวนรวมกัน มูลค่าประมาณ 1.09 หมื่นล้านบาท และหนี้ค่าซื้อระบบการเดินรถ (ไฟฟ้าและเครื่องกล) มูลค่าประมาณ 2.07 หมื่นล้านบาท 

นายสุรพงษ์ กล่าวต่ออีกว่า ในขณะนี้ BTSC ยังไม่ได้รับแจ้งจากกรุงเทพธนาคม และ กทม. ว่าจะดำเนินการอย่างไร ซึ่ง BTSC ได้แบกรับภาระหนี้มาแล้วกว่า 4 ปี ส่งผลต่อการดำเนินการของบริษัทในปัจจุบันเป็นอย่างมาก เนื่องจากมูลค่าหนี้ดังกล่าวนั้น BTSC ต้องไปดำเนินการกู้เงินกับธนาคาร และต้องเสียดอกเบี้ยปีละประมาณ 1,000 ล้านบาท อีกทั้ง BTSC เป็นบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ มีผู้ถือหุ้นกว่าแสนราย ดังนั้น หลังจากนี้ BTSC จะใช้สิทธิตามสัญญาที่กำหนด และอำนาจทางกฎหมาย โดยอยู่ระหว่างการหารือกับทนายความ เพื่อดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลปกครองในกรณีการไม่ชำระหนี้ของกรุงเทพธนาคม ซึ่งคาดว่า จะใช้เวลาไม่นาน เนื่องจากมีสัญญาที่ชัดเจนอยู่แล้ว สำหรับการดำเนินการดังกล่าวนั้น เพื่อให้สามารถให้บริการประชาชนอย่างดีที่สุด และดูแลผู้ถือหุ้นต่อไป

ทั้งนี้ ยืนยันว่า การทวงหนี้ รวมถึงการใช้สิทธิอำนาจทางกฎหมายของ BTSC ในครั้งนี้นั้น ไม่ได้นำมาเป็นเงื่อนไข หรือต่อรองในการต่อสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย ระยะเวลา 30 ปี แต่อย่างใด เนื่องจากเป็นหน้าที่ และสิทธิในการทวงหนี้ของ BTSC อยู่แล้ว ประกอบกับหากกรุงเทพธนาคม ยังไม่ชำระหนี้มูลค่า 3 หมื่นล้านบาท ดังที่กล่าวข้างต้นนั้น เมื่อครบสัญญาในปี 2572 จะทำให้มูลค่าหนี้ เพิ่มขึ้นเป็น 9 หมื่นล้านบาท (หนี้+ดอกเบี้ย) แบ่งเป็น หนี้ในการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุง มูลค่าประมาณ 6 หมื่นล้านบาท และหนี้ค่าซื้อระบบการเดินรถ (ไฟฟ้าและเครื่องกล) มูลค่าประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งส่งผลกระทบต่อ BTSC และผู้ถือหุ้นเป็นอย่างมาก

“บริษัทยืนยันที่จะใช้สิทธิทางกฎหมาย และดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย เนื่องจากต้องแบกรับภาระหนี้ก้อนนี้มากว่า 4 ปีแล้ว ซึ่งขณะนี้ บริษัทประสบปัญหาเป็นอย่างมาก แบกรับหนี้ไม่ไหวแล้ว และยืนยันว่า ไม่ได้เอาเรื่องหนี้ มาเป็นเงื่อนไข หรือต่อรองในการต่อสัญญาสัมปทาน ที่ผ่านมาบริษัทได้ให้ความร่วมมืออย่างดีกับภาครัฐ ต่อไปก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของภาครัฐว่า จะดำเนินการอย่างไรต่อไป และยืนยันว่า รถไฟฟ้าสายสีเขียวใจกลางเมือง ระยะทาง 23 กิโลเมตร (กม.) นั้น ถือเป็นโครงการเดียวในประเทศไทย และในโลก ที่ BTSC ได้ลงทุนเองทั้งหมด 100% ซึ่งแตกต่างจากโครงการอื่นในปัจจุบัน ส่วนแผนสำรองหากไม่ได้ต่อสัญญานั้น BTSC ก็ยังเป็นผู้รับจ้างเดินรถส่วนต่อขยายไปถึงปี 2585” นายสุรพงษ์ กล่าว

อย่างไรก็ตามจากกรณีสภาองค์กรของผู้บริโภค เสนอว่า ค่าโดยสารรถไฟฟ้า BTS ราคา 25 บาท โดยไม่มีการติดค่าแรกเข้า เป็นราคาที่ทำได้จริง และจะจะมีกำไรส่งรัฐในปี 2602 อยู่ที่ 23,200 ล้านบาท ส่วนข้อมูลของกระทรวงคมนาคม หากใช้ราคา 49.83 บาท จะทำให้มีรายได้ 380,200 ล้านบาทในปี 2602 นั้น นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ราคาค่าโดยสารดังกล่าว สามารถกำหนดลงมาได้ แต่ต้องพิจารณาว่า จะทำอย่างไร ซึ่งจากตัวเลขของสภาองค์กรของผู้บริโภค และกระทรวงคมนาคมนั้น มีตัวเลขคลาดเคลื่อนหลายเรื่อง อาทิ ตัวเลขดังกล่าว ไม่ได้นำค่าใช้จ่ายในปัจจุบันไปจนปี 2572 มารวมด้วย โดย ณ วันนี้ เก็บค่าโดยสารที่ราคา 59 บาท ยังมีผลการดำเนินการขาดทุนประมาณ 6,000 ล้านบาท โดยหากเก็บค่าโดยสารในราคาลดลงอีก ต้องพิจารณาว่า จะดำเนินการอย่างไร 

นอกจากนี้ จำนวนผู้โดยสารที่สภาองค์กรของผู้บริโภคนำมาคำนวณ ยังคลาดเคลื่อนอีกด้วย กล่าวคือ มีการคิดคำนวณจากผู้โดยสารที่ 1-1.1 ล้านคนต่อวัน แต่ความเป็นจริง ในปัจจุบันมีผู้โดยสารอยู่ที่ 8 แสนคนต่อวันเท่านั้น ซึ่งคลาดเคลื่อนไปประมาณ 30% อย่างไรก็ตาม ราคาสูงสุด 65 บาทตลอดสายนั้น ยืนยันว่า เป็นราคาที่มีการเจรจาเรียบร้อยแล้ว และเป็นการจ่ายตามจริงตามระยะทาง รวมถึงไม่มีค่าแรกเข้าระหว่างส่วนหลักกับส่วนต่อขยาย เนื่องจากการคำนวณในเริ่มแรก จากคูคต-สมุทรปราการ จะมีราคาอยู่ที่ 158 บาท


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"