รพ.รามาฯเชิญชวนบริจาคโลหิตช่วยเหลือผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย เหตุเลือดขาดแคลนในช่วงวิกฤตโควิด


เพิ่มเพื่อน    

 

6พ.ต.64-วันที่ 8 พฤษภาคมของทุกปี ตรงกับ "วันธาลัสซีเมียโลก" ขององค์การอนามัยโลก (WHO) เนื่องด้วยเป็นโรคทางพันธุกรรมที่เป็นปัญหาระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งประเทศไทยถือเป็นวาระแห่งชาติที่ต้องมีการวางแผนยุทธศาสตร์กันโดยเร่งด่วน เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียรายใหม่

 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. แพทย์หญิงเดือนธิดา ทรงเดช อาจารย์ประจำสาขาวิชาโลหิตวิทยาและมะเร็งวิทยา ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ในสถานการณ์ระบาดของโควิด19 ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียมีโอกาสติดเชื้อ เช่นเดียวกับคนทั่วไปที่แข็งแรงดี แต่ถ้าผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียติดโควิด19 อาจมีไข้สูง ทำให้เม็ดเลือดแดงแตก และต้องได้รับการถ่ายเลือดก่อนกำหนด นอกจากนั้น ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียที่ตัดม้ามแล้ว มีธาตุเหล็กสะสมสูงมาก หรือมีโรคประจำตัวอื่นร่วมด้วย เช่น เบาหวาน เส้นเลือดอุดตัน เมื่อติดเชื้อไวรัส COVID-19 อาจมีโอกาสติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนมากกว่าคนปกติ ดังนั้น ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียควรดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ด้วยการรับการถ่ายเลือด และรับประทานยาขับเหล็กอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงโอกาสสัมผัสเชื้อไวรัส COVID-19 และเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส COVID-19 โดยเร็วที่สุดเมื่อมีโอกาส

 

 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. แพทย์หญิงเดือนธิดา  กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาฯ  ได้ร่วมกับ ศูนย์วิจัยธาลัสซีเมีย สถาบันชีววิทยาศาสตร์โมเลกุล มหาวิทยาลัยมหิดล ค้นคว้าหายาที่สามารถเพิ่มการสร้างฮีโมโกลบินเอฟ (Hb F) ซึ่งจะส่งผลให้เม็ดเลือดแดงมีอายุมากขึ้น ทำให้ผู้ป่วยธาลัสซีเมียมีอาการน้อยลง และต้องถ่ายเลือดน้อยลง รวมถึงการรักษาโรคธาลัสซีเมียให้หายขาดด้วยการตัดต่อยีนที่สามารถทำได้ทั้งกระบวนการในประเทศไทย ซึ่งการค้นคว้ายาชนิดใหม่ และการตัดต่อยีนดังกล่าว ยังอยู่ในระหว่างการศึกษาวิจัย คาดว่าจะพร้อมนำมารักษาผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียได้จริงในอีก 5 ปีข้างหน้า


โดยปกติแล้วผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียจะต้องถ่ายเลือดทุก 3 - 4 สัปดาห์เป็นประจำ แต่ในช่วงวิกฤติโควิด19 มีจำนวนผู้บริจาคโลหิตน้อยลง ทำให้เลือดขาดแคลนจนทำให้ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียต้องเลื่อนกำหนดการเข้ารับการถ่ายเลือดออกไป เพื่อเยียวยาภาวะการขาดแคลนเลือด ทางรพ.รามาฯ จึงขอเชิญชวนบริจาคโลหิตสำหรับผู้ที่มีอายุ 17 - 70 ปี น้ำหนัก 45 กิโลกรัมขึ้นไป ซึ่งมีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง นอนหลับพักผ่อนไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมง ไม่อยู่ระหว่างการรับประทานยารักษาโรค หรือยาปฏิชีวนะ โดยควรรับประทานอาหารก่อนบริจาคโลหิต งดเว้นอาหารจำพวกที่มีไขมันสูง รวมทั้งงดสูบบุหรี่ก่อนการบริจาคโลหิต นอกจากนี้ ตามประกาศของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2564 ได้แนะนำให้ผู้ที่ได้รับฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโควิด 19 รอดูอาการข้างเคียงก่อนมาบริจาคโลหิต  

สำหรับที่ โรงพยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ถนนพระราม 6 กรุงเทพฯ สามารถติดต่อบริจาคโลหิต ได้ทั้งที่ ห้องรับบริจาคโลหิต อาคาร 1 ชั้น 2 และที่ ห้องรับบริจาคโลหิต อาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ ชั้น 3 ทุกวัน เวลา 08.30 - 12.00 น. และเวลา 13.00 - 16.30 น. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร. 0-2201-1229, 0-2201-1219 (ห้องรับบริจาคโลหิต อาคาร 1 ชั้น 2) และโทร. 0-2200-4208 (ห้องรับบริจาคโลหิต อาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ ชั้น 3)


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"