โควิด-19 เข้าสถานการณ์ ‘คับขัน’


เพิ่มเพื่อน    

เริ่มจะมีเสียงจากคุณหมอหลายท่านที่ต้องการให้รัฐบาลพิจารณามาตรการที่เข้มข้นจริงจัง เพื่อกดตัวเลขคนติดเชื้อที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะนิ่งหรือลดลงได้ในเร็ววัน

            ที่คุณหมอนิธิพัฒน์ เจียรกุล แห่งโรงพยาบาลศิริราชเสนอให้

            ล็อกดาวน์กรุงเทพฯ อย่างน้อย 7 วันนั้นไม่ใช่ความเห็นส่วนตัวของท่าน

            ผมได้พูดคุยกับคุณหมออาวุโสหลายท่านที่มีความเห็นคล้ายกันว่า การที่จำนวนคนติดเชื้ออยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างนี้ไม่มีทางจะที่บริหารได้ นอกจากจะต้องใช้มาตรการเคร่งครัดอีกครั้งหนึ่ง

            เพราะจำนวนเตียงโรงพยาบาลเริ่มจะไม่พอ

            บุคลากรทางการแพทย์เหนื่อยล้าและเครียดหนักขึ้น

            คนป่วยที่มีอาการหนักและที่ต้องการเครื่องช่วยหายใจมีเพิ่มขึ้นตลอดเวลา

            ล่าสุดเมื่อโรงเรียนเปิดก็เกิดการแพร่เชื้อในหมู่เด็กๆ จนต้องมีการปิดโรงเรียนกันในหลายภาค

            แต่เรายังไม่มีวัคซีนสำหรับเด็ก

            และวัคซีน “ทางเลือก” กับ “ตัวเลือก” ก็ยังมีจำกัดขณะที่วัคซีนตัวหลักก็ยังไม่มีการส่งมอบอย่างต่อเนื่องเพียงพอ

            ทำให้เพิ่มความเสี่ยงที่เด็กจะเอาเชื้อจากโรงเรียนไปติดผู้ใหญ่ที่บ้าน

            โฆษก ศบค.คุณหมอทวีศิลป์ วิษณุโยธิน บอกว่า ที่ประชุม ศบค.ได้พิจารณาข้อเสนอเรื่องให้ล็อกดาวน์กรุงเทพฯ และปริมณฑลแล้ว

            มีความเห็นว่าหากทำเช่นนั้นจะไม่ได้ผล เพราะจะทำให้มีการเคลื่อนย้ายคนจากกรุงเทพฯ ไปต่างจังหวัด ซึ่งก็จะไม่สามารถหยุดยั้งการระบาดของไวรัสโควิดอยู่ดี

            คุณหมอนิธิพัฒน์ตระหนักประเด็นนี้ดี จึงได้เตือนเอาไว้ในข้อเสนอของท่านว่า

            “สำหรับผมแล้ว คำตอบสุดท้ายสำหรับวิกฤติโควิดระลอก 4 คือการล็อกดาวน์กรุงเทพฯ อย่างน้อย 7 วัน เพื่อเร่งจัดการปัญหาค้างคาและลดปัญหาใหม่ที่จะพอกพูนขึ้นในสัปดาห์หน้า ที่กว่ามาตรการเด็กขาดเพื่อลดการเคลื่อนย้ายของประชาชนจะเห็นผล

            “และที่สำคัญถ้าจะทำตามที่เสนอนี้ ต้องห้ามไม่ให้คนกรุงเทพฯ แตกรังออกต่างจังหวัดเหมือนที่เราทำพลาดมาแล้วช่วงสงกรานต์”

            เงื่อนไขสำคัญคือจะต้องไม่ให้เกิดอาการ “แตกรัง” ซึ่งเคยเกิดมาแล้ว

            และเป็นที่มาของปัญหาทุกวันนี้

            คุณหมอทวีศิลป์บอกว่า ศบค.เห็นว่าน่าจะใช้วิธี Bubble and Seal จะได้ผลกว่า

            นั่นหมายถึงการจำกัดวงของการแพร่เชื้อและตีเส้นปิดจุดนั้นไม่ให้แพร่เชื้อไปจุดอื่น

            การที่วิธีนี้จะสำเร็จต้องมีการปฏิบัติกันอย่างจริงจัง

            นั่นคือต้อง Seal หรือตีกรอบปิดล้อมโดยไม่มีรูโหว่หรือมีใครมีทางหลีกเลี่ยงกฎเกณฑ์ที่กำหนด

            ที่ผ่านมาเราต้องยอมรับว่าแม้จะประกาศมาตรการ Bubble and Seal ในบางจุดแล้ว แต่ก็ไม่ได้ผลเพราะมีความหย่อนยานในการนำไปปฏิบัติจริง

            เคยมีการประกาศใช้วิธีนี้ในหลายจุดที่เป็น clusters ของการแพร่เชื้อ แต่ก็ทำบ้าง ไม่ทำบ้าง เช่น กรณีแคมป์คนงาน หรือแม้แต่ในเรือนจำ

            แต่ตัวเลขของผู้ติดเชื้อก็ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

            เป็นที่มาของข้อเสนอว่าจะต้องใช้วิธีการ “เจ็บแต่จบ” อีกครั้งหนึ่ง

            โดยเฉพาะเมื่อมีคำถามว่าเรื่องคำประกาศของนายกฯ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าจะ “เปิดประเทศ” ใน 120 วัน

            โดยยังไม่มีแผนคู่ขนานที่จะรับมือกับความผิดพลาดหรือการแพร่เชื้อที่อาจจะเกิดขึ้น

            นายแพทย์หลายท่านที่ผมคุยด้วยยอมรับว่าสถานการณ์วันนี้เข้าขั้น “คับขัน”ฃ

            ที่พูดตรงๆ ว่า “เอาไม่อยู่” ก็มี

            ที่พูดแบบนิ่มๆ แต่ตรงประเด็นก็มี เช่น ท่านรองอธิบดีกรมควบคุมโรค ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ ที่เขียนในเฟซบุ๊กของท่านว่า

            “จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ของประเทศไทยเริ่มกลับมาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นอีกครั้ง สถานการณ์ในบางพื้นที่ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีแนวโน้มจะหนักขึ้น...”

            ท่านยอมรับว่า “...แสดงว่าที่ทำมายังไม่พอที่จะคุมโรคให้ลดลงได้”

            เมื่อที่ทำมายังไม่พอที่จะคุมโรคให้ลดลงได้ ย่อมแปลว่าท่านกำลังบอกเราว่าจะต้องทำอะไรมากกว่านี้

            จะทำอย่างไรนั้นคงไม่มีทางเลือกมากนัก

            นั่นคือการยอมรับความจริงและใช้มาตรการจริงจังควบคุมไปกับการประคองสภาพเศรษฐกิจไปด้วยกัน

            เพราะหากยังกดตัวเลขคนติดเชื้อประจำวันไม่สำเร็จ เรื่องปากท้องก็ยากที่จะฟื้นได้เช่นกัน.

 

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"