สนิมเกิดแต่เนื้อในตนรัฐบาล ‘พปชร.-ภท.’แค่ร้าวยังไม่แตก


เพิ่มเพื่อน    

วิวาทะระหว่าง นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ กับ นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย คือสิ่งที่สะท้อนความเป็นสนิมเกิดแต่เนื้อในตนของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับพรรคภูมิใจไทย

            กรณีดังกล่าวเริ่มต้นจากการที่ นายสิระ ออกมาโจมตี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ที่ให้สัมภาษณ์ทำนองว่า ไม่เชื่อว่าจะมีประชาชนจองวัคซีนทางเลือกถึง 9 ล้านโดส 

            โดยนายสิระอาสาเป็นตัวแทนโรงพยาบาลเอกชนเพื่อจะเป็นตัวตั้งตัวตีในการตรวจสอบเรื่องนี้ เพราะคิดว่าความล่าช้าเรื่องวัคซีนทางเลือก โมเดอร์นา ไม่ได้เกิดจากโรงพยาบาลเอกชนไม่เปิดยอด แต่มีคนตั้งใจจะหน่วงการนำเข้าวัคซีนทางเลือกมากกว่า

            ถัดจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง นายศุภชัยออกมาตอบโต้ว่า นายสิระทำตัวประหนึ่งเป็นพวกหิวแสง เพราะเรื่องนี้มีการชี้แจงกันไปแล้วว่าเป็นเพราะโรงพยาบาลเอกชนยังไม่ได้โอนเงินมาให้องค์การเภสัชกรรม 

            มองผิวเผินการตอบโต้ของนายสิระและนายศุภชัยเหมือนเป็นเรื่องของปัจเจก แต่หากลงลึกจะพบว่ามันสะท้อนความรู้สึกนึกคิดของพรรคการเมืองต้นสังกัดของทั้งคู่

            เพราะการที่นายสิระออกมาปกป้องโรงพยาบาลเอกชน เท่ากับกำลังจะโทษว่าสาเหตุที่ล่าช้าเป็นเพราะนายอนุทิน แม้ไม่เอ่ยชื่อกันตรงๆ

            ขณะที่นายศุภชัย แม้จะตอบโต้ไปที่ตัวนายสิระ พร้อมกับขอให้ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ อบรมนายสิระ แต่มีหนึ่งประโยคที่กระแทกไปถึง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม

                “ถ้านายสิระยังไม่รู้เรื่องให้ไปถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นำ ศบค. ที่เป็นคนลงนามแต่งตั้งกรรมการจัดหาวัคซีนทางเลือกว่าทำไมจึงล่าช้า มีใครหาประโยชน์หรือไม่ อย่ามามั่ว อย่ามาตีกินทางการเมืองเลย ไม่มีประโยชน์ เสียเวลาเปล่าๆ ฝากท่าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค เรียกไปอบรมมารยาทการอยู่ร่วมกัน ให้รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ พูดไปพูดมากลายเป็นด่านายตัวเองคือท่านนายกฯ เอาเสียอย่างนั้น”

            ฟังดูเหมือนนายศุภชัยด่านายสิระ แต่หากพินิจให้ดีจะพบว่าเป็นการโยนปมวัคซีนทางเลือกกลับไปให้ “บิ๊กตู่” ที่เป็นผู้มีอำนาจและแต่งตั้งคณะกรรมการจัดหาวัคซีนทางเลือกที่ไม่มีชื่อของนายอนุทินอยู่ในนั้น         

            ความขัดแย้งระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับพรรคภูมิใจไทยเรื่องการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาโควิด-19 มันมีเชื้ออยู่เป็นทุนเดิมหลายปม 

            ตั้งแต่การที่ “บิ๊กตู่” ตัดสินใจรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ตัวเองผ่านกฎหมาย 31 ฉบับ ทำให้นายอนุทินที่เป็น รมว.สาธารณสุข ซึ่งควรจะมีบทบาทมากกว่านี้ในยามวิกฤติ กลับแทบไม่มีอำนาจอะไร

            นอกจากนี้ พรรคภูมิใจไทยยังไม่พอใจที่นายอนุทินถูกลดบทบาทหรือมองข้าม โดยไม่มีชื่อในกรรมการต่างๆ ที่ตั้งขึ้นมา แม้แต่คณะกรรมการจัดหาวัคซีนทางเลือกที่มี นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร ที่ปรึกษา ศบค.เป็นประธาน ตลอดจนการแต่งตั้งให้นายอนุทินเป็นเพียงที่ปรึกษาของคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อการบูรณาการด้านการแพทย์และสาธารณสุข ที่มี พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นประธาน ทั้งที่เป็นเพียงฝ่ายประจำ

            แต่เวลารัฐบริหารผิดพลาด นายอนุทินกลับเป็นคนแรกๆ ที่โดนทัวร์ลง ไม่ว่าจะเรื่องยอดผู้ติดเชื้อ หรือการจัดหาวัคซีน ในฐานะที่เป็น รมว.สาธารณสุข  

            จะเห็นว่าเวลานายอนุทินตกเป็นตำบลกระสุนตก บรรดา ส.ส.พรรคภูมิใจไทยมักจะออกมาปกป้องว่านายอนุทินไม่มีอำนาจอะไร

            อย่างไรก็ตาม อีกแผลใหญ่ที่เป็นเหมือนหัวเชื้อให้กับทุกๆ เรื่องระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับพรรคภูมิใจไทยคือ ประเด็นการขยายสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่ยังยืดเยื้อยาวนาน หลังกระทรวงคมนาคมภายใต้การบริหารของพรรคภูมิใจไทย คัดค้านที่จะให้ขยายสัมปทานให้กับบีทีเอส 

            เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้ใหญ่ของทั้งสองพรรคไม่สนิทใจต่อกัน แม้เบื้องหน้าจะยืนยันว่ารักใคร่กลมเกลียวไม่มีนัยแอบแฝง

            แต่ก็เห็นแล้วว่า หลายต่อหลายครั้งสองพรรคมักจะเปิดปฏิบัติการ “สงครามตัวแทน” อยู่เป็นระยะ    

            ทว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงรอยร้าวและรอยปริแยก ยังไม่ถึงจุดที่แตกหัก เพราะวันนี้ทั้งสองฝ่ายต่างยังต้องพึ่งกันและกันในทางการเมือง

            มีปัจจัยที่ทิ้งกันไม่ได้

            อย่างเรื่องกฎหมายที่สำคัญที่หากไม่ผ่านรัฐบาลอาจต้องยุบสภาแสดงความรับผิดชอบ ก่อนโหวตมักจะมีข่าวออกมาเสมอว่าพรรคร่วมรัฐบาลอาจจะไม่โหวตให้ แต่จนแล้วจนรอดผ่านไปได้ดีทุกครั้ง 

            นั่นเพราะหากไม่ผ่านและยุบสภาจริง พรรคภูมิใจไทยหรือแม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องไปด้วยทั้งคู่ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล ขณะที่พรรคพลังประชารัฐก็ยังไม่กล้าทิ้งพรรคภูมิใจไทยในตอนนี้เช่นกัน 

            ต้องประคองกันไปให้รอด แล้วว่ากันใหม่ในสนามเลือกตั้งครั้งหน้า.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"