
9 ก.ค.64 - พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 9/2564 ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ภายหลังการประชุม นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อำนวยการ ศบค. สั่งการประชุมเร่งด่วนเพื่อตัดสินใจร่วมกันเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนและแก้ไขสถานการณ์เป้าหมาย คือ ประคับประคองเศรษฐกิจแสะสุขภาพประชาชน ซึ่งศบค. ยกระดับมาตรการเข้มข้น ซึ่งเป็นแผนเผชิญเหตุ เพื่อรองรับสถานการณ์ที่การแพร่ระบาดอย่างรุนแรงและเป็นวงกว้างขณะนี้ โดยล็อกดาวน์พื้นที่ ซึ่งเป็นมาตรการที่เคยปฏิบัติมาก่อนในช่วงเดือนเมษายน 2563 ทั้งการจำกัดการเคลื่อนย้าย การรวมกลุ่ม มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด โดยให้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณ ร่วมกันกำหนดมาตรการเยียวยา เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ นายกรัฐมนตรีย้ำถึงมาตรการที่ออกมา คำนึงถึงความปลอดภัยด้านสุขภาพของประชาชนเป็นสำคัญ
โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า นายกรัฐมนตรียังได้ติดตามการบริหารสถานการณ์โควิด-19 ภาพรวม ให้ทุกหน่วยงานต้องรับผิดชอบในส่วนการทำงานของตน เชื่อมโยงการดำเนินงานให้ครบวงจร ตั้งแต่การตรวจคัดกรอง ทั้งการสุ่มตรวจและการตรวจเชิงรุก การคัดกรองโรค เพื่อจัดระดับความรุนแรงของโรค ซึ่งขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดหาสถานที่ จุดตรวจคัดกรอง ให้ครบทุกเขตพื้นที่ เพื่อประชาชนเข้าถึงการตรวจคัดกรอง ลดการรอคอย สำหรับการบริหารเตียงยกระดับเตียงผู้ป่วยใน รพ. สนาม เพิ่มขีดความสามารถให้รองรับผู้ป่วยระดับอาการสีส้ม สีแดง ซึ่งรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนด้านงบประมาณเพื่อจัดหาอุปการณ์ทางการแพทย์และยารักษาโรค ขณะเดียวกันจะต้องเดินหน้าบริการฉีดวัคซีนทุกพื้นที่ ทุกจังหวัด ตามแผนการฉีดวัคซีน โดย ศบค. ยังคงแผนกระจายวัคซีนตามกลุ่มเป้าหมาย บุคคลากรด่านหน้า กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มโรคเสี่ยง ประชาชนพื้นที่เสี่ยงสูง และคลัสเตอร์เสี่ยง
นายอนุชา กล่าวว่า ในการประชุม นายกรัฐมนตรียังให้ความสำคัญกับการสื่อสาร โดยกำชับทุกหน่วยงานต้องติดตามการเผยแพร่ Fake News และข่าวบิดเบือน เพื่อป้องกันการสับสน หากพบความผิดต้องดำเนินการตามหลักฐานและกฎหมายอย่างเคร่งครัด ขณะเดียวกัน ทีมสื่อสารต้องเน้นสร้างการรับรู้ โดยให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ชี้แจงตามอำนาจเฉพาะเรื่อง โดย ศบค. จะเป็นผู้แถลงในภาพรวม ขณะที่ ทีมโฆษกรัฐบาล ขอให้เน้นการประชาสัมพันธ์ที่เข้าใจง่าย สร้างความร่วมมือให้ประชาชนปฏิบัติตาม เพื่อสร้างความเข้าใจปฏิบัติมาตรการและคำแนะนำของสธ. และ ศบค.
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังได้สั่งการให้ฝ่ายความมั่นคง เข้มงวดเฝ้าระวังการลับลอบข้ามแดนผิดกฎหมายตลอดแนวชายแดน รวมทั้งให้ทำลายกระบวนการใช้แรงงานต่างด้าวและลักลอบนำแรงงานต่างด้าวเข้าประเทศอย่างเด็ดขาด เมื่อมีการมาตรการล็อกดาวน์ มีผลบังคับใช้ ต้องมีชุดเฉพาะกิจ ตั้งด่านตรวจ และสุ่มตรวจสถานประกอบการให้ปฏิบัติมาตรการที่ออกมาอย่างเข้มงวด และให้เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด
นายอนุชา กล่าวว่า นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังมอบหมายให้ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ (ศบศ.) เร่งรัดกำหนดมาตรการเยียวยาสถานประกอบการหรือพนักงานที่ได้รับผลกระทบจากการกำหนดมาตรการในครั้งนี้ให้เห็นผลเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ให้นำมาตรการควบคุมแบบบูรณาการสำหรับพื้นที่ระดับสถานการณ์ต่าง ๆ ข้อห้าม และข้อปฏิบัติตามข้อกำหนด (ฉบับที่ 24, 25, 26) มาใช้บังคับเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกำหนดนี้ และระยะเวลาที่มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่ 12 ก.ค.64 เป็นต้นไป ระยะเวลาอย่างน้อย 14 วัน หรือจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น
“นายกรัฐมนตรีย้ำ ศบค.ไม่เคยหยุดคิด โดยมีการทำงานต่อเนื่องตั้งแต่วันแรกที่มีการพบเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่อู่ฮั่น และมีมาตรการที่สอดคล้องกับสมมุติฐานของการแพร่ระบาด โดยมีการวางแผนและมาตรการล่วงหน้า ตั้งแต่ระดับ ปกติ ปานกลาง รุนแรง รุนแรงมาก เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ และเร่งรัดมาตรการด้านการป้องกันโรค การคัดกรอง การรักษา การฉีดวัคซีน การควบคุมโรค การรักษาพยาบาล รวมทั้งเยียวยาให้ได้มากที่สุด โดยขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในแต่ละส่วนให้ปฏิบัติงานอย่างรับผิดชอบด้วย ซึ่งหลังจากประกาศใช้ไประยะเวลา 14 วันหลังจากนั้น ศบค. จะประเมินมาตรการทั้งหมดนี้ อีกครั้ง”โฆษกรัฐบาลกล่าว
นายอนุชา กล่าวด้วยว่า นายกรัฐมนตรียืนยันว่ารัฐบาลดูแลคนไทยทุกคนรวมทั้งคนต่างชาติที่พำนักในประเทศไทย ให้สามารถเข้ารับบริการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือของทั้งประเทศ เพราะทุกคน คือ ทีมประเทศไทย ขณะที่นายกฯ ประกาศงดรับเงินเดือน 3 เดือน เพื่อนำไปใช้ในการจัดหาอุปกรณ์ สิ่งของจำเป็นด้วย ฝากประชาชนทุกคน ยึดมาตรการส่วนบุคคล โดยการปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข DMHTT ด้วย
ทั้งนี้ พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด หรือสีแดงเข้ม ยังเป็น 10 จังหวัด คือ กทม. นครปฐม นราธิวาส นนทบุรี ปทุมธานี ปัตตานี ยะลา สมุทรปราการ สมุทรสาคร และสงขลา
|
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
| อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
| 'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
| ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
| วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
| "การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
| เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |