ผู้จัดการตลท.คนใหม่โชว์วิชั่นดันมาร์เก็ตแคปหุ้นไทยเทียบเท่าสิงคโปร์


เพิ่มเพื่อน    

ผู้จัดการตลท.คนใหม่มั่นใจอีก 5 ปี มาร์เก็ตแคปตลาดหุ้นไทยเติบโตโตเทียบเท่าสิงคโปร์ หลังที่ผ่านมาไทยโตต่อเนื่อง ชี้ปัจจัยในประเทศยังไม่มีความเสี่ยง เศรษฐกิจยังแข็งแกร่ง

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ไทยในอีก 5 ปี ข้างหน้า หรือ ปี 66 จะสามารถเติบโตเทียบเท่ามาร์เก็ตแคปประเทศสิงคโปร์ เนื่องจากอัตราการเติบโตของตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับสูง โดย 5 ปีที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยมีการเติบโตปีละประมาณ 10% มาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้นจาก 350,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 550,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ ตลาดหุ้นสิงคโปร์มาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้นจาก 700,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 850,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม มองว่าปัจจัยในประเทศยังไม่มีความเสี่ยงต่อตลาดหุ้นไทย เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่ง การบริโภคในประเทศ การเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐ การลงทุนภาคเอกชน การส่งออก และนักท่องเที่ยวยังดี รวมถึงอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ และการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไทยยังดีต่อเนื่อง สะท้อนได้จากไตรมาสแรก ปี 61 ทำกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ ปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกประเทศ คือ ราคาน้ำมันดิบโลก การเมืองระหว่างประเทศ และนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทำให้เกิดกระแสเงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่

“ที่ผ่านมามาร์เก็ตแคปไทยโตขึ้นมาก หากหลังจากนี้ตลาดหุ้นไทยสามารถสร้างกระแสเงินลงทุนจากการระดมทุนไอพีโอใหม่ได้ปีละ 40 บริษัท และมีการระดมทุนในตลาดแรกและตลาดรองประมาณ 500,000 ล้านบาท จะทำให้เราตามทันตลาดหุ้นสิงคโปร์ได้ในปี 66 แน่นอน ส่วนการตั้งเป้าหมายมาร์เก็ตแคปหรือดัชนีหุ้นหลังจากนี้ ยังไม่มีการตั้งเป้าหมายใดๆ เพราะต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในช่วงนั้นๆ ด้วย”

ขณะที่ การขับเคลื่อนแผนการดำเนินงานให้ได้ตามเป้าหมาย ประกอบด้วย การนำข้อมูลขนาดใหญ่ (บิ๊กดาต้า) มาวิเคราะห์ เพื่อให้เกิดการบริการที่ดีเหมาะสมกับลูกค้า และ บจ.ที่จะเข้ามาระดมในตลาดหุ้น เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ และจะดำเนินงานร่วมกับพันธมิตรต่าง ๆ เพื่อยกระดับการให้บริการผ่านตลาดทุน  รวมถึงแก้ไขกฎระเบียบและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างไทยและต่างประเทศ เพื่อลดค่าใช้จ่ายให้กับ บจ., บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เพราะในอนาคตตลาดหุ้นไทยจะเป็นระบบที่ช่วยในการทำธุรกิจหลากหลายแบบ

นอกจากนี้ จะมีการเพิ่มความคล่องตัวให้ธุรกิจสตาร์ทอัพ และเอสเอ็มอีเข้ามาระดมทุนในตลาดทุน เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าภาครัฐให้ความสนใจใช้ตลาดทุนเป็นเครื่องมือในการระดมทุน เพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเพิ่มขึ้น เพราะหากใช้วิธีกู้ยืมอาจส่งผลต่อหนี้สาธารณะของประเทศปรับเพิ่มขึ้นได้ รวมทั้งจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความน่าสนใจกับประเทศเพื่อนบ้านที่ต้องการเข้ามาระดมทุนในตลาดหุ้นไทยอีกด้วย
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"