‘อาคม’จี้ยืดเวลาพักหนี้ยาวประคองเศรษฐกิจ


เพิ่มเพื่อน    

 

16 ก.ค. 2564 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.การคลัง กล่าวในงานสัมมนาออนไลน์ “THAILAND ECONOMIC MONITOR เส้นทางสู่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ” ที่จัดโดยธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ว่า ปีนี้เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้น โดยเฉพาะจากภาคการส่งออก ในเดือน พ.ค.-มิ.ย. ที่ผ่าน แสดงให้เห็นว่าภาคการผลิตของไทยยังสามารถดำเนินการได้ ขณะที่ภาคการท่องเที่ยว รัฐบาลได้เริ่มโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ และโครงการสมุยพลัส ซึ่งเป็นโมเดลในการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา ภายใต้มาตรการด้านสาธารณสุขที่เข้มงวด ถือเป็นมาตรการที่จำเป็น เพื่อสร้างความมั่นใจเรื่องความปลอดภัย

 

“รัฐบาลมองว่าการส่งออกและการท่องเที่ยวยังเป็นรายได้หลักของประเทศ ดังนั้นการเร่งดำเนินการด้านกิจกรรมทางเศรษฐกิจควบคู่กับการป้องกันและรักษาผู้ติดเชื้อในประเทศ ก็เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจได้รับผลกระทบมากจนเกินไป” นายอาคม กล่าว

 

ทั้งนี้ รัฐบาลได้วาง 3 แนวทางในการฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะถัดไป ได้แก่ 1. มาตรการช่วยเหลือและเยียวยาในระยะสั้นยังมีความจำเป็น ทั้งมาตรการด้านการเงิน ผ่านโครงการพักชำระหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้ ยังเป็นโครงการที่ต้องทำต่อเนื่องในระยะยาว แม้ว่าปัจจุบันสถาบันการเงินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีการพักหนี้ให้เป็นเวลา 2 เดือน แต่เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่อาจจะไม่ได้เร็วอย่างที่คิด รายได้ของผู้ประกอบการอาจจะไม่มีเข้ามาทันทีเพื่อชำระหนี้ได้ ดังนั้นต้องมาติดตามดูว่าการช่วยเหลือด้านการเงินจะสามารถยืดเวลาออกไปได้อีกหรือไม่ เพื่อให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั้งในและนอกระบบมีลมหายใจต่อชีวิตการทำธุรกิจในระยะถัดไปได้ ส่วนมาตรการด้านการคลังก็ยังดำเนินอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นการบริโภคในระยะสั้น ถือเป็นมาตรการจำเป็นที่ต้องดำเนินการตั้งแต่ก่อนเศรษฐกิจฟื้นตัว

 

2. การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อรองรับการฟื้นตัวอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยการเน้นโมเดลเศรษฐกิจใหม่ (BCG Economy Model) ภายใต้นโยบายสำคัญ 4 เรื่อง ได้แก่ การพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่จำเป็น มุ่งลดการใช้พลังงาน หรือใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น, การผลักดันดิจิทัลอีโคโนมี เป็นจุดที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งในภาครัฐและเอกชน, การเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ ด้วยการให้ความสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ สนับสนุนโครงการรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และมุ่งเน้นธุรกิจเฮลแคร์ ซึ่งไทยมีจุดแข็งอย่างมาก โดยรัฐบาลต้องเข้ามาให้ความสำคัญในเรื่องนี้เพิ่มขึ้น

 

3. การบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะในระยะต่อไปภาระภาคการคลังจะมีมากขึ้น ดังนั้นการปฏิรูปโครงสร้างการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลจึงมีความจำเป็นว่าจะทำอย่างไรให้การจัดเก็บรายได้มีความยั่งยืน สามารถรองรับวิกฤติต่าง ๆ และไม่กระทบกระเทือนความน่าเชื่อถือของประเทศ และ 4. การให้ความสำคัญกับระบบการคุ้มครองทางสังคม ผ่านการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐและประชาชน เพื่อให้ได้รับการคุ้มครองทางสังคมอย่างทั่วถึง และไม่เป็นภาระค่าใช้จ่ายของภาครัฐมากจนเกินความจำเป็น

 

นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าววว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปัจจุบันทวีความรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นมาตรการด้านการคลังในช่วงนี้จึงเน้นช่วยเหลือและลดภาระค่าครองชีพให้ประชาชนอย่างครอบคลุม และรวดเร็วที่สุด โดยจะมี 4 มาตรการสำคัญที่ดำเนินการในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ทั้งมาตรการคนละครึ่ง มาตรการยิ่งใช้ยิ่งได้ มาตรการเติมเงินสวัสดิการแห่งรัฐ มาตรการเติมเงินให้กลุ่มเปราะบางที่ไม่มีสมาร์ทโฟน เพื่อกระตุ้นและช่วยเหลือด้านกำลังซื้อแก่ประชาชนอย่างครอบคลุม โดยรัฐบาลตั้งเป้า 50 ล้านคน

 

“ตอนผลักดัน 4 มาตรการนี้ ยังไม่เห็นเรื่องล็อกดาวน์ วัตถุประสงค์ของมาตรการจึงเน้นให้ครอบคลุมคนทุกกลุ่ม เป้าหมายถึง 50 ล้านคน แต่ปัจจุบันมีเข้าโครงการมาแล้ว 44 ล้านคน แต่พอมีการระบาดของโควิด-19 หนัก ๆ เข้ามาอีก ก็กระทบตัวเล็กเม็ดเงินที่เดิมคาดว่าจากทั้ง 4 โครงการจะมีเม็ดเงินเข้าระบบ 4 แสนกว่าล้านบาท ก็อาจจะลดลงเหลือครึ่งหนึ่ง เพราะมีมาตรการล็อกดาวน์ ส่วนที่ถามว่าเมื่อมีล็อกดาวน์แล้วทำไมรัฐบาลไม่ชะลอโครงการไปก่อน อยากชี้แจงว่า มาตรการล็อกดาวน์เข้มข้นแค่ในบางพื้นที่ แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้ล็อกดาวน์ ดังนั้นมาตรการก็ยังเดินหน้าต่อไปได้ แต่รัฐบาลไม่ได้เร่ง ดูจากมาตรการที่ยาวไปจนถึงสิ้นปีนี้ และเมื่อสถานการณ์ทุกอย่างเริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น เมื่อสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจกลับมาได้แล้ว กระทรวงการคลังก็จะเน้นเรื่องการฟื้นฟูอีกครั้ง” นางสาวกุลยา กล่าว

 

นางสาวกุลยา กล่าวยืนยันว่านโยบายการคลังยังมีช่องว่างให้สามารถดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อยู่ โดยเม็ดเงินจากการกู้เงินตาม พ.ร.ก. กู้เงินฉุกเฉิน 1 ล้านล้านบาท ได้ทยอยเบิกจ่ายใกล้ครบแล้ว และยังมีเม็ดเงินใหม่จาก พ.ร.ก.กู้เงินเพิ่มเติมอีก 5 แสนล้านบาทที่เตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์ในระยะถัดไปอีก ส่วนความจำเป็นต้องกู้เงินเพิ่มเติมหรือไม่นั้น คงต้องดูตามความเหมาะสมและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจด้วย โดยกรณีเลวร้ายหากคลังต้องมีการกู้เงินเพิ่มเติมในสถานการณ์วิกฤติ ก็สามารถขยายเพดานหนี้สาธารณะเพิ่มจาก 60% ของจีดีพีได้ และในระยะถัดไปก็ต้องกลับมาดูเรื่องการสร้างวินัยทางการคลัง โดยการดำเนินการทั้งหมดต้องควบคู่ไปกับการกระจายวัคซีนอย่างทั่วถึงและรวดเร็ว ตรงนี้เป็นปัจจัยสำคัญ เพราะการถมเงินไปเรื่อย ๆ ต้องไปคู่กันทั้งด้านเศรษฐกิจและด้านสาธารณสุข

 

สำหรับเป้าหมายนโยบายการคลังในระยะปานกลางนั้น จะต้องเน้นการเพิ่มศักยภาพด้านการคลัง ผ่านการปฏิรูปการจัดเก็บรายได้ ส่งเสริมรายได้รัฐให้ยั่งยืน การควบคุมการจัดสรรงบประมาณ การลงทุนเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เกิดการใช้จ่ายในระดับพื้นที่ ตัดลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น ควบคู่กับการบริหารหนี้สาธารณะ ที่จะต้องทำให้มีภูมิคุ้มกันเพื่อรองรับเหตุการณ์ไม่คาดคิด บริหารความเสี่ยงภายใต้ต้นทุนที่เหมาะสม

 

“ระยะนี้ยังไงประเทศไทยก็ต้องใช้นโยบายการคลังแบบขยายตัว ยังเห็นการขาดดุลงบประมาณอยู่ แต่ในระยะยาวถ้าเศรษฐกิจขยายตัวได้เต็มศักยภาพ รัฐบาลสามารถเพิ่มศักยภาพด้านการคลัง รายได้ รายจ่าย ก็มีเป้าหมายในระยะยาวที่รัฐบาลจะทยอยปรับลดขนาดการขาดดุล และมุ่งสู่การจัดทำงบสมดุลในที่สุด แต่คงเป็นแผนในระยะยาวพอสมควร” นางสาวกุลยา กล่าว

 

นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเสถียรภาพระบบการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า เศรษฐกิจประเทศไทยช่วงนี้เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด กำลังจะฟื้นตัวก็มาเจอการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ และยังมีข่าวร้ายเรื่องการจัดหาวัคซีน แต่ก็ยังมีความโชคดีที่ภาคการเงินมีความเข้มแข็งในระดับหนึ่ง ทำให้ตอนนี้ภาคการเงินถือเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจไทยช่วงนี้ กรณีที่หลายประเทศมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจนั้น ในส่วนของไทยคงต้องบอกว่าอีกระยะ เพราะเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้ากว่าต่างประเทศมาก ดังนั้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจึงจำเป็นต้องอยู่ในระดับต่ำไปอีกนาน

 

โดยในช่วง 1-2 ปีนี้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจะเป็นรูปตัวเค (K) คืออุตสาหกรรมหนึ่งจะฟื้นตัวได้เร็ว แต่อีกกลุ่มหนึ่งจะฟื้นตัวได้ช้า ดังนั้นหน้าที่รัฐบาลคือการพยุงให้อุตสาหกรรมขาล่างฟื้นตัวได้ดีขึ้น รวมทั้งประเมินว่าเศรษฐกิจไทยหลังปี 2566 จะฟื้นตัวปีละประมาณ 5% จากปีนี้ที่คาดว่าจีดีพีจะขยายตัว 1.8% และปี 2565 ที่ 3.9% โดยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจะยังไม่เข้าสู่แนวโน้มเดิม (เทรนด์) จนกว่าจะถึงปี 2570 ดังนั้นยอมรับว่า โควิด-19 ส่งผลระยะยาวต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมาก

 

ขณะที่เงินบาทที่อ่อนค่าในขณะนี้ ถือเป็นข้อดีหนึ่งของเศรษฐกิจไทยในสถานการณ์ปัจจุบัน เพราที่ภาคการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบรุนแรงจากโควิด-19 ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดติดลบ หรือใกล้ระดับ 0 จึงทำให้แรงกดดันของบาทแข็งค่าไม่มี เพราะหากเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง เศรษฐกิจไทยคงรับไม่ไหว


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"