‘โมเดลอู่ฮั่น’: รัฐไทย มีศักยภาพทำได้หรือ?


เพิ่มเพื่อน    

คำว่า “โมเดลอู่ฮั่น” ถูกนำมากล่าวอ้างถึงโดยอธิบดีกรมควบคุมโรค คุณหมอโอภาส การย์กวินพงศ์ ที่บอกว่าหากสถานการณ์ควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดไม่ดีขึ้นในสองเดือนข้างหน้าก็จะต้องใช้สูตรที่เข้มข้นกว่านี้

            คุณหมอบอกคนข่าวระหว่างการพบปะกันเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาตอนหนึ่งว่า

            ในช่วง 2 สัปดาห์จากนี้ไป ตัวเลขคนติดเชื้อจะไม่ลดลง และยังคงมีมาตรการเพื่อควบคุมการระบาดต่อไป

            “แต่ในช่วง 2 เดือนข้างหน้า หากทุกฝ่ายร่วมมือกัน เหตุการณ์น่าจะดีขึ้น แต่ถ้ายังไม่ดีขึ้นจำเป็นต้องเพิ่มมาตรการสูงสุด โดยสิ่งที่เราต้องการคือให้ทุกคนอยู่บ้าน  ไม่ต้องทำอะไร เหมือนกรณีอู่ฮั่นโมเดล คืออยู่บ้าน แล้วมีคนส่งข้าวส่งน้ำ...”

            ยิ่งในวันต่อมาที่คุณหมอทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. อ้างถึงการพยากรณ์ของคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ว่า

            “ถ้าไม่ทำอะไร ไม่ช่วยกัน และปล่อยให้มีการติดเชื้อไปเรื่อยๆ คาดว่าจะมีการติดเชื้อสูงสุดที่ 31,997 ต่อวัน

            และแม้จะทำดีที่สุด ก็ยังอยู่ที่ 9,018-12,605 ต่อวัน...

            ค่ากลางจะอยู่ที่ 9,695-24,204 ต่อวัน...”

            การพิจารณา “ฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุด” (worst-case  scenario) เป็นสิ่งจำเป็น ขณะที่เราก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์จากนี้ไปจะเป็นเช่นไร

            จุดอ่อนสำคัญที่สุดของเราคือ วัคซีนที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยยังมีจำนวนไม่มากพอที่จะทำให้เราสกัดการแพร่กระจายของไวรัสโควิดที่กำลังกลายพันธุ์อย่างรวดเร็วได้

            และหากประเมินจากข้อมูลของทางการทั้งหลาย อีก 2  เดือนข้างหน้าก็คงยังต้องพึ่งพาวัคซีน AstraZeneca ที่จะส่งมอบในจำนวนที่น้อยกว่า 10 ล้านโดสที่เราต้องการอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง (5-6 ล้านโดส)

            กับ Sinovac ที่ยังไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้คนไทยจำนวนมากว่าจะเป็น “เกราะ” ที่ป้องกันให้เกิดความปลอดภัยได้อย่างแท้จริง

            ที่เหลือก็จะเป็นไฟเซอร์ประมาณ 1.5 ล้านโดสที่สหรัฐฯ ส่งมาให้และ AstraZeneca อีกประมาณ 1 ล้านโดสจากรัฐบาลญี่ปุ่น

            บวกวัคซีน Sinopharm อีกประมาณ 1 ล้านโดสจากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์

            รวมความแล้วแม้จะเร่งฉีดกันอย่างเต็มที่ในสองเดือนข้างหน้า ก็ยังไม่อาจจะสร้าง “ภูมิคุ้มกันหมู่” ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการลดจำนวนคนติดเชื้อและเสียชีวิตอย่างมีนัยสำคัญได้

            ส่วนวัคซีนไฟเซอร์และโมเดอร์นาที่กระทรวงสาธารณสุขและเอกชนกำลังพยายามเจรจาหาซื้อมาเป็นจำนวนที่มากพอจะช่วยให้ความมั่นใจกับคนไทยนั้น กว่าจะส่งมอบก็คงจะเป็น “ปลายไตรมาส 3 หรือต้นไตรมาส 4”

            ซึ่งก็จะเลย 2 เดือนที่คุณหมอโอภาสบอกว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญ ที่จะตัดสินว่าเราจะสามารถกันไม่ให้ตัวเลขคนติดเชื้อและเสียชีวิตกระโดดไปเกินกว่าที่คาดการณ์ในวันนี้หรือไม่

            สัญญาณต่างๆ บอกเราว่าตัวเลขคนติดเชื้อและเสียชีวิตจะยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพราะการแพร่เชื้อได้กระจายตัวไปอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ

            หากรัฐบาลไม่สามารถใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งวัคซีนที่มีคุณภาพเป็นจำนวนมากอย่างรวดเร็วภายใน 3  เดือนข้างหน้านี้ สิ่งที่เรากลัวก็จะเกิดขึ้น

            นั่นคือ จำนวนคนติดเชื้อพุ่งขึ้นหลายหมื่นคนต่อวัน  และคนเสียชีวิตจะก้าวกระโดดไปหลายเท่าของวันนี้

            การจะใช้ “โมเดลอู่ฮั่น” นั้นไม่ใช่ว่าจะรับรองความสำเร็จได้เสมอไป

            เพราะเราไม่ใช่เมืองจีน ความเด็ดขาด, ชัดเจน และความเป็น Single Command ที่เกิดขึ้นได้จริงนั้นไม่อาจเกิดในประเทศไทยได้หากยังบริหารวิกฤติอย่างที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้

            สูตรอู่ฮั่นนั้นคือการปิดเมืองจริงจัง ทุกคนอยู่บ้าน ทางการส่งอาหารไปให้ทุกครอบครัว การขนส่งสาธารณะถูกสั่งหยุดหมด ใครฝ่าฝืนเคอร์ฟิวถูกลงโทษอย่างไม่ไว้หน้า

            อีกทั้งรัฐบาลใช้งบประมาณทางการจ้างร้านรวงที่ถูกปิด ให้ทำอาหารและนำสินค้าอุปโภคบริโภคไปแจกจ่ายประชาชนอย่างจริงจังและเป็นกอบเป็นกำ

            “ฉากทัศน์เลวร้ายที่สุด” อาจจะเกิดขึ้น

            แต่ความสามารถของรัฐบาลที่จะบังคับใช้สูตรปิดเมืองแบบอู่ฮั่นของจีนยังน่าสงสัย.

            (พรุ่งนี้: จากสูตรอู่ฮั่นสู่โมเดลกว่างโจว)

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"