
สภาองค์กรชุมชนตำบลถือเป็นประชาธิปไตยทางตรง เพราะข้อเสนอการแก้ไขปัญหาจากประชาชนสามารถเสนอต่อหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งคณะรัฐมนตรีได้
พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชนตำบล พ.ศ.2551 เป็นกฎหมายที่สนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนและชุมชนในการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นและประเทศ และเป็นการส่งเสริมประชาธิปไตยทางตรง เพราะตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้ ผู้แทนของสภาองค์กรชุมชนตำบลสามารถนำปัญหาหรือแนวทางการพัฒนาในตำบลมาประชุม ปรึกษาหารือ เสนอแนว ทางพัฒนาหรือแก้ไขปัญหาต่อผู้ว่าราชการจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องได้
ที่สำคัญก็คือ มาตรา 32 (3) กำหนดให้ที่ประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบล “สรุปปัญหาที่ประชาชนในจังหวัดต่างๆ ประสบ และข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการ” ซึ่งหมายความว่า ปัญหาของประชาสามารถนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้โดยตรง !! (ดูรายละเอียด พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชน ฯ ได้ที่ http://law.m-society.go.th/law2016/law/view/720)
เอกนัฐ บุญยัง ประธานคณะกรรมการดำเนินการตามกติกาที่ประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบล บอกว่า ปัจจุบัน พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชน พ.ศ.2551 ประกาศใช้ได้ 13 ปี มีการจัดตั้งสภาองค์กรชุมชนตำบลทั่วประเทศแล้ว 7,795 แห่ง แต่ละปีจะมี ‘การประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบล’ ปีละ 1 ครั้ง ในปี 2564 จะจัดประชุมในวันที่10 กันยายน โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ร่วมกับเครือข่ายสภาองค์กรชุมชนตำบลทั่วประเทศจัดขึ้น ผ่านระบบ Zoom Meetings (ตามมาตรการป้องกันโควิด) โดยมีผู้แทนสภาองค์กรชุมชนฯ และภาคีเครือข่ายเข้าร่วมประชุมประมาณ 600 คน
ก่อนการประชุมระดับชาติ มีการจัดสมัชชาเชิงประเด็นตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม - 4 กันยายน เพื่อให้ผู้แทนสภาองค์กรชุมชนตำบลทั่วประเทศ (5 ภูมิภาค) ได้เสนอประเด็นปัญหาต่างๆ รวมทั้งข้อเสนอแนะ แนวทางการแก้ไข และกลไกในการขับเคลื่อน เพื่อนำมาเสนอในวันประชุมระดับชาติ (วันที่ 10 กันยายน) หลังจากนั้นจะรวบรวมประเด็นปัญหาและแนวทางแก้ไขเสนอผ่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รักษาการตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้) และเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป

สำหรับประเด็นปัญหาและข้อเสนอแนวทางการแก้ไขมี 5 กลุ่ม 11 ประเด็น คือ 1.สถานการณ์โควิด-19 2.การจัดการภัยพิบัติ 3.การทบทวน พ.ร.ก.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท 4.ปัญหาที่ดินทำกิน ที่อยู่อาศัย 5.การสร้างความเป็นธรรมให้กลุ่มชาติพันธุ์ 6.ผลกระทบจากเขตเศรษฐกิจพิเศษ (EEC) 7.โมเดลเศรษฐกิจเกื้อกูล 8.ส่งเสริมการจัดทำแผนธุรกิจชุมชน 9.การผลักดันรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน 10.การคัดค้านร่างกฎหมายควบคุมภาคประชาสังคม 11.การสร้างความมั่นคงทางอาหาร ทบทวนความตกลงทางการค้า (CPTPP)
โดยมีธีมงานการจัดประชุมในระดับชาติ คือ “13 ปีสภาองค์กรชุมชน ร่วมส่งเสริมสิทธิพลเมือง กระจายอำนาจสู่ชุมชนท้องถิ่น เพื่อสร้างสังคมที่เท่าเทียมและเป็นธรรม”
“13 ปีสภาองค์กรชุมชน ร่วมส่งเสริมสิทธิพลเมือง กระจายอำนาจสู่ชุมชนท้องถิ่น เพื่อสร้างสังคมที่เท่าเทียมและเป็นธรรม” นอกจากจะเป็นธีมงานและเป็นเป้าหมายในการขับเคลื่อนเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศที่สะสมมายาวนาน โดยเฉพาะในภาวะปัจจุบันที่ชุมชนท้องถิ่นและประชาชนถูกจำกัดสิทธิในด้านต่างๆ เช่น เข้าไม่ถึงที่ดินทำกิน ทรัพยากร การมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ การจัดการปัญหาโควิด-19 ฯลฯ เนื่องจากอำนาจต่างๆ รวมศูนย์อยู่ที่ส่วนกลาง และผลจากการพัฒนาประเทศยังทำให้ช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมถูกถ่างออกไป
เช่น ที่ดินกระจุกตัวอยู่ในมือของคนส่วนน้อย นักธุรกิจบางตระกูลมีที่ดินในครอบครองทั่วประเทศกว่า 630,000 ไร่ แต่ประชาชนที่ยากไร้เข้าไปอยู่อาศัยและทำกินในเขตป่ามานานก่อนการประกาศเขตป่าต่างๆ ไม่มีกรรมสิทธิ์ครอบครอง หนำซ้ำยังถูกจับกุมดำเนินคดีข้อหาบุกรุกไม่ต่ำกว่า 46,000 ราย (ข้อมูล : ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม-P Move) ขณะที่การบุกรุกที่ดินของรัฐโดยนักการเมืองและผู้มีอิทธิพลกลับไม่มีความคืบหน้าในการดำเนินคดี

ชาวกะเหรี่ยงและกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ อยู่อาศัยมาก่อนมีการประกาศเขตป่าของทางราชการ แต่ส่วนใหญ่ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและไม่มีสิทธิเหมือนพลเมืองทั่วไป
การพัฒนาประเทศที่มุ่งแต่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ส่งเสริมการส่งออก ทำให้พื้นที่เกษตรกรรมถูกแย่งชิง ผืนไร่ ผืนนา ท้องทะเล กำลังจะเปลี่ยนเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ-โรงงานอุตสาหกรรม หนุ่มสาวอพยพเข้าไปขายแรงงานในเมือง เมื่อต้องซมซานกลับชนบทเพราะพิษโควิด-ปิดโรงงาน แต่ไม่มีพื้นที่ให้ทำกิน ไม่มีการจ้างงาน
รูปแบบเกษตรกรรมเปลี่ยนเป็นอุตสาหกรรมอาหาร การผลิตอาหารปนเปื้อนสารเคมีเกินค่ามาตรฐาน เช่น การเลี้ยงหมู ไก่ ปลา กุ้ง และตกอยู่ในกำมือของบริษัทใหญ่ เกษตรกรมีสภาพเหมือนลูกจ้าง ผักและผลไม้มีสารเคมีตกค้าง ส่งผลต่อสุขภาพร่างกายทั้งผู้ปลูกและผู้บริโภค
ความตกลงทางการค้า ‘CPTPP’ (Comprehensive and Progressive Agreement of Trans-Pacific Partnership) หรือ ‘ความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก’ ซึ่งเกษตรกรกังวลว่า หากรัฐบาลไทยทำความตกลงจะเปิดโอกาสให้ต่างชาติที่มีทุนและเทคโนโลยีสูงกว่า สามารถนำพันธุ์พืชพื้นเมืองของไทยไปทำการวิจัยเพื่อสร้างพันธุ์พืชใหม่แล้วจดสิทธิบัตร เกษตรกรไม่สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ไปปลูกได้ ต้องซื้อใหม่เท่านั้น ทำให้ต้นทุนการเพาะปลูกสูงขึ้น ฯลฯ
อุบล อยู่หว้า เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกภาคอีสาน บอกว่า วิกฤตจากภัยพิบัติในอนาคตที่จะเกิดขึ้น รวมถึงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ครั้งนี้ จากการประมวลปัญหาสรุปได้ว่า 1.คนจนจะเข้าไม่ถึงแหล่งอาหาร 2.เกิดการกักตุนอาหาร 3.หนี้สินจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด 4.อาชญากรรม การปล้น-ลักทรัพย์เพิ่มขึ้น (แม้แต่หัวมันสำปะหลังในไร่ยังโดนขโมย) 5.การสูญเสียที่ดินทรัพย์สิน 6.ต่างชาติเข้ายึดครองกิจการ (โรงแรมปิดตัว-ทุนจีนซื้อราคาถูก)
“ที่ดินคือต้นทางความมั่นคงทางอาหาร แต่จากข้อมูลพบว่า เกษตรกรทั่วประเทศจำนวน 49 % ไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง และต้องเช่าที่ดินทำกิน, 80 % มีที่ดินทำกินไม่เกิน 20 ไร่ และมีเกษตรกรเพียง 26 % ที่เข้าถึงระบบชลประทาน ทำให้กระทบต่อความมั่นคงทางอาหารของประเทศ” อุบลยกตัวอย่างประเด็นปัญหาที่ดินที่จะส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหารในอนาคต
จากประเด็นปัญหา 11 ด้านที่นำเข้าสู่การประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบลในครั้งนี้ มีข้อเสนอและแนวทางการแก้ไขจากพี่น้องประชาชนทั่วประเทศที่ประสบปัญหาต่างๆ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่สำคัญเชิงโครงสร้าง เช่น
การรับมือโควิด-19 อย่างมีประสิทธิภาพ มีส่วนร่วม มีข้อเสนอ เช่น 1.รัฐบาลควรประกาศให้โรคระบาดโควิด - 19 เป็นโรคระบาดในมนุษย์ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 เพื่อให้ท้องถิ่นสามารถจัดการปัญหาได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ 2.หน่วยงานภาครัฐต้องสนับสนุนการขับเคลื่อนงานการแก้ไขปัญหาสถานการณ์โควิดให้ภาคประชาชน เช่น งบประมาณ บุคลากร องค์ความรู้ 3.รัฐบาลต้องสนับสนุนการแก้ไขปัญหาคุณภาพชีวิตผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด ทั้งระยะสั้น และระยะยาว เช่น สร้างความมั่นคงทางอาหาร พัฒนาอาชีพ ให้สามารถดำรงชีพอยู่ได้ในระยะ 2 ปี การจ้างงานผู้ที่ได้รับผลกระทบ ฯลฯ
การแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน-ที่อยู่อาศัย มีข้อเสนอ เช่น 1.การแก้ไขหรือเสนอร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนที่รับรองสิทธิชุมชน แก้เนื้อหาการละเมิดสิทธิชุมชน การกระจายอำนาจการจัดการทรัพยากรให้ชุมชนท้องถิ่น 2.แก้ไขประกอบ พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 พ.ร.บ.ป่าชุมชน พ.ศ.2562 และ พ.ร.บ.ที่จำกัดและกระทบต่อการจัดการที่ดินโดยชุมชน ฯลฯ
การทบทวนเขตเศรษฐกิจพิเศษ มีข้อเสนอ เช่น 1.แก้ไข พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ.2561 2.ยกเลิกการแก้ไขแผนผังการใช้ประโยชน์ที่ดิน และแผนผังการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการออกแบบผังเมือง ฯลฯ
การสร้างความมั่นคงทางอาหาร มีข้อเสนอ เช่น 1.ต้องทำให้ความมั่นคงทางอาหารเป็นวาระแห่งชาติ 2.รัฐบาลต้องมีแผนสร้างความมั่นคงทางอาหาร สำรองอาหาร ตั้งแต่ระดับชุมชน ตำบล จังหวัด เช่น มีธนาคารข้าว มีอาหารสำรองให้สัตว์เลี้ยง 3.ส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ เร่งออกกฎหมายควบคุมการใช้สารเคมี 4.รัฐบาลต้องไม่ทำข้อตกลงทางการค้าที่เสียเปรียบที่จะส่งผลกระทบต่อการผลิตอาหาร (ความตกลง CPTPP) 5.นำที่ดินสาธารณะ ที่ว่างเปล่า ที่ดินทหารที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ มาเป็นแหล่งผลิตอาหาร สร้างงาน ฯลฯ

ชาวชุมชนบ้านมั่นคงสวนพลู กรุงเทพฯ ปลูกผักลดรายจ่าย เป็นแหล่งอาหารสำรองช่วงโควิด
นี่คือตัวอย่างข้อเสนอจากภาคประชาชน ซึ่งเป็นข้อเสนอที่สร้างสรรค์ เล็งถึงผลประโยชน์ของส่วนรวม เป็นหนทางสู่การพัฒนาประเทศที่ยั่งยืน และยังมีประเด็นปัญหาและข้อเสนออีกหลายด้าน (ผู้ที่สนใจสามารถติดตามผลการประชุมได้ทาง facebook /สภาองค์กรชุมชน และ facebook / codi.or.th)
ส่วนเส้นทางข้อเสนอจากที่ประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบลสู่ทำเนียบนั้น คณะกรรมการดำเนินงานของสภาองค์กรชุมชนจะรวบรวมประเด็นปัญหาและแนวทางการแก้ไขนำเสนอต่อนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะ รมว.รักษาการตาม พ.รบ.สภาองค์กรชุมชน พ.ศ.2551 เพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ตาม พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชนฯ พ.ศ.2551 มาตรา 32 (3) กำหนดให้ที่ประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบล “สรุปปัญหาที่ประชาชนในจังหวัดต่างๆ ประสบ และข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการ”

นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.พม. ร่วมงานประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบลปี 2563 ที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ
แม้ว่าข้อเสนอจากภาคประชาชนจะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีได้ตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ข้อเสนอจากที่ประชุมสภาองค์กรชุมชนยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง หลายประเด็นปัญหาถูกส่งต่อไปยังกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บางประเด็นมีความคืบหน้า แต่ส่วนใหญ่ยังติดอยู่ที่กลไกและระเบียบของทางราชการ เช่น การจัดการปัญหาที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ การแก้ไขปัญหาประมงพื้นบ้านและทะเลชายฝั่ง ข้อเสนอการทบทวนนิคมอุตสาหกรรมจะนะ จ.สงขลา ฯลฯ ฉะนั้นปัญหาต่างๆ จึงวนเวียนอยู่ที่เดิม

การประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบลเมื่อปี 2563
ดังนั้นการประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบลปีนี้ ผู้แทนสภาองค์กรชุมชนและภาคีเครือข่ายที่เข้าประชุมจึงมีข้อเสนอร่วมกัน โดยเสนอให้มีการ “จัดตั้งกลไก 5 ฝ่าย” ประกอบด้วย 1. ฝ่ายการเมือง (รัฐบาล) 2.กระทรวงที่เกี่ยวข้อง 3.ผู้บริหารสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ 4.ผู้แทนสภาองค์กรชุมชน และ 5.ผู้แทนประเด็นปัญหา ในรูปแบบ “คณะกรรมการติดตามและขับเคลื่อนข้อเสนอตามมติที่ประชุมระดับชาติสภาองค์กรชุมชนตำบล” โดยกำหนดบาทบาทหน้าที่เพื่อให้กลไกดังกล่าวมีการขับเคลื่อนและติดตามข้อเสนอต่างๆ ให้บรรลุผล
นอกจากนี้จะมีการเชิญชวนภาคีเครือข่าย เช่น สถาบันการศึกษา นักวิชาการ องค์กรต่างๆ ภาคประชาสังคม สื่อมวลชน ประชาชน ฯลฯ เข้ามามีส่วนร่วม เพื่อผลักดันปัญหาเหล่านี้ให้เป็นประเด็นสาธารณะ ให้สังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้น
ดังหมุดหมายการประชุมสภาฯ ปีนี้ที่ตอกย้ำว่า “13 ปีสภาองค์กรชุมชน ร่วมส่งเสริมสิทธิพลเมือง กระจายอำนาจสู่ชุมชนท้องถิ่น เพื่อสร้างสังคมที่เท่าเทียมและเป็นธรรม”
|
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
| อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
| 'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
| ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
| วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
| "การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
| เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |