การถดถอยของเสรีประชาธิปไตย


เพิ่มเพื่อน    

 

ทรัมป์ทำตัวเยี่ยงเผด็จการ :

      บทความ Liberal Democracy Is Under Attack จากสื่อ Spiegel Online ของประเทศเยอรมนีวิพากษ์โจมตีประธานาธิบดีทรัมป์ว่าแม้มาจากการเลือกตั้ง แต่เรียกร้องอำนาจเบ็ดเสร็จ (absolute power) นึกว่าตัวเองอยู่เหนือกฎหมายและทำอะไรก็ได้ในเวทีโลก

        ล่าสุดรัฐบาลทรัมป์นำประเทศถอนตัวจากคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (United Nations Human Rights Council) ให้เหตุผลว่าองค์กรนี้เต็มไปด้วยอคติทางการเมือง ประเทศที่ส่งเสริมสิทธิมนุษยชนกลายเป็นแพะรับบาป จึงขาดความน่าเชื่อถือ

        เป็นพฤติกรรมล่าสุดที่รัฐบาลทรัมป์ถอนตัวออกจากความร่วมมือพหุภาคี หลังถอนตัวออกจากข้อตกลงแก้ไขปัญหาโลกร้อน Paris climate accord ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน ฉีกข้อตกลง NAFTA ขึ้นภาษีสินค้าหลายตัวที่สวนทางหลักองค์การค้าโลก ด้วยเหตุผลบรรทัดสุดท้ายว่าขัดผลประโยชน์สหรัฐกับพันธมิตร

        ประเทศเสรีประชาธิปไตยย่อมส่งเสริมสิทธิมนุษยชน แต่รัฐบาลสหรัฐทำตัวแตกต่างสวนทางประเทศอื่นๆ  ที่ประชาธิปไตยพัฒนามากแล้ว มีหลักฐานปรากฏทั้งของเก่าของใหม่มากมาย

      ที่ต้องบันทึกไว้คือการถอนตัวครั้งนี้ ทั้งพรรครีพับลิกันกับเดโมแครตไม่คัดค้าน

        ถ้ามองภาพรวม ผู้นำรัฐบาลหลายประเทศไม่แตกต่างจากทรัมป์ (หรือทรัมป์ไม่แตกต่างจากพวกเขา) ต้องการควบคุมทั้งอำนาจการเมือง เศรษฐกิจ ศาลและสื่อ ต้องการควบคุมอนาคต ดูเหมือนว่าความเป็นประชาธิปไตยในศตวรรษที่ 21 กำลังถดถอยเข้าสู่ลัทธิอำนาจนิยม (authoritarianism)

ระบอบประชาธิปไตยกำลังเข้าสู่วิกฤติร้ายแรง :

      รายงานของ Freedom House ปี 2017 ให้ข้อสรุปว่าระบอบประชาธิปไตยกำลังเข้าสู่วิกฤติร้ายแรง กระบวนการเลือกตั้ง เสรีภาพสื่อและกระบวนการยุติธรรมถูกคุกคาม

        รายงานดัชนีประชาธิปไตย 2016 (Democracy Index 2016) จาก Economist Intelligence Unit ศึกษาประชาธิปไตย 165 ประเทศกับอีก 2 ดินแดน คะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 5.52 จากคะแนนเต็ม 10

        ดังที่เคยนำเสนอแล้วว่าตั้งแต่ทศวรรษ 1970 เป็นต้น ไม่ว่าจะที่สหรัฐ ยุโรปตะวันตก ญี่ปุ่น มีลักษณะตรงกันคือประชาชนกว่าครึ่งไม่เชื่อถือรัฐบาล พรรคการเมือง โดยเฉพาะไม่เชื่อถือนักการเมือง

        ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา นักเสรีประชาธิปไตยจะพร่ำสอนว่าระบอบนี้สร้างความรุ่งเรืองมั่งคั่งมั่นคง คำถามคือทำไมระบอบที่นำความรุ่งเรืองไม่คงอยู่ แต่กลับถดถอย ทำไมในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาไม่สามารถต้านอำนาจนิยมที่เพิ่มขึ้นๆ (การถดถอยของประชาธิปไตยสู่อำนาจนิยมเป็นกระบวนการกินเวลาหลายสิบปี ผ่านหลายรัฐบาล หลายพรรคการเมือง)

        พรรคการเมืองกับนักการเมืองเป็นตัวอย่างที่ควรนำมาอธิบายการถดถอย หลายประเทศในยุโรปที่ทั้งพรรคฝ่ายซ้ายกับขวาต่างไม่อาจสร้างผลงานให้พลเมืองไว้ใจ เป็นที่โจษจันว่าทุจริตคอร์รัปชัน และเป็นที่มาของการทุจริตคอร์รัปชันด้วย (ไม่ต่อต้านจริงจัง)

        บรรดาพรรคการเมือง นักการเมืองทุกคนต่างประกาศว่าจะต่อต้านทุจริตคอร์รัปชัน แต่ทุกอย่างเป็นดังที่เห็นหรือร่ำลือกันอยู่

        ชาวบ้านสามัญชนเป็นเพียงไม้ประดับของพรรค ยิ่งเวลาผ่านไป ยิ่งผ่านรัฐบาลหลายชุด ประชาชนสัมผัสความแปลกแยกระหว่างพรรคการเมืองกับตน แม้ว่านักการเมืองจะพยายามแสดงตัวทำเพื่อประชาชน แต่ลึกๆ แล้วชาวบ้านไม่คิดเช่นนั้น

        เป็นเหตุให้ในระยะหลังพรรคการเมืองประเภทสุดโต่งสุดขั้วได้รับความนิยม นโยบายสำคัญๆ หลายข้อของพรรคสุดโต่งเหล่านี้ขัดแย้งกับลัทธิเสรีประชาธิปไตย ไม่ว่าที่ฝรั่งเศส อิตาลี กรีซ สเปน ฯลฯ

        สมควรที่จะกล่าวว่าพรรคการเมืองกับนักการเมืองที่ไม่ทำหน้าที่ของตนคือสาเหตุสำคัญบั่นทอนประชาธิปไตย ไม่ใช่จากภัยสงคราม ภัยคอมมิวนิสต์ เป็นตลกร้ายที่สถาบันพรรคการเมืองอันเป็นกลไกสำคัญของระบอบประชาธิปไตยคือตัวทำลายประชาธิปไตยเสียเอง

อำนาจนิยมกลับเจริญรุ่งเรือง :

      นักวิเคราะห์ตะวันตกบางคนยกจีนเป็นตัวอย่างที่นับวันประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจ สังคมมั่นคงมั่งคั่ง ชักจูงให้ประเทศอื่นๆ เลียนแบบ

        มีข้อมูลว่านับจากปี 2013 เมื่อสีจิ้นผิง (Xi Jinping) ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ในขณะนั้นเศรษฐกิจจีนมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกแล้ว 5 ปีผ่านไปเศรษฐกิจโตขึ้นอีกร้อยละ 50 ค่าแรงเพิ่มขึ้น 10 เท่าใน 3 ปี ครัวเรือนมีเงินเก็บออมเพิ่มขึ้น 50 เปอร์เซ็นต์ คนยากจนที่สุดมีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น

        จึงไม่แปลกที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนแก้รัฐธรรมนูญให้ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงอยู่ในตำแหน่งตลอดชีวิต ทุกวันนี้หลายคนเคารพประธานาธิบดีสีเยี่ยงจักรพรรดิ

        ดังที่เคยนำเสนอแล้วว่าหากผู้ปกครองมีคุณธรรมเรียกว่า “ราชาธิปไตย” (Monarchy) อริสโตเติลให้นิยามว่าเป็นการปกครองภายใต้กษัตริย์จอมปราชญ์หรือราชาปราชญ์ (philosopher-king) แต่หากเป็นกษัตริย์หรือผู้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จกดขี่ข่มเหงราษฎรจะเรียกกว่า “ทุชนาธิปไตย” หรือ “ทรราช” (Tyranny) ตัวอย่างเช่น ฮิตเลอร์ในสมัยนาซี

        อย่างไรก็ตาม การเติบใหญ่ของเศรษฐกิจจีนมาจากหลายปัจจัย เป็นประเด็นถกเถียงว่าอำนาจนิยมแบบจีนยั่งยืนเพียงไร นอกจากนี้ไม่ควรหยิบยกจีนเป็นตัวอย่างเพียงกรณีเดียว ประเทศในอ่าวเปอร์เซียเป็นอำนาจนิยมที่อยู่ได้ด้วยทรัพยากรน้ำมัน สังคมวัฒนธรรมเกื้อหนุน รัสเซียในยุคปูตินที่ครองอำนาจยาวนานฟื้นฟูประเทศจากมหาอำนาจที่เกือบล่มจมให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง พลเมืองมีกินมีใช้ดีกว่าก่อน

        แต่อีกหลายสิบประเทศในอเมริกาใต้ แอฟริกา เอเชียเป็นอำนาจนิยมที่ล้มเหลว ดังนั้น อำนาจนิยมมีทั้งล้มเหลวกับประสบความสำเร็จ ไม่ต่างจากประชาธิปไตยมีทั้งประสบความสำเร็จกับล้มเหลว ตัวระบอบเองจึงไม่ใช่คำตอบเสมอไป อยู่ที่บริบทด้วยว่าประเทศนั้นๆ เหมาะสมกับระบอบใดมากที่สุด

      ผู้ปกครองที่เข้าใจจึงต้องตัดสินใจเลือกร่วมกับประชาชน

        รัฐบาลบางประเทศจำต้องมีความเป็นอำนาจนิยมมากขึ้น หรืออาจต้องเป็นแบบจีนที่ผ่อนคลายความเป็นอำนาจนิยม ขยายสิทธิเสรีภาพแก่ประชาชน

        หมดยุคแล้วที่เอ่ยว่าระบอบเสรีประชาธิปไตยดีที่สุด  เหตุเพราะดีจริงตามทฤษฎี แต่หากปฏิบัติไม่ได้จะกลายเป็นอำนาจนิยมแอบแฝง ผลประโยชน์ส่วนใหญ่ตกอยู่ในคนกลุ่มน้อย เลือกตั้งอีกกี่ครั้งกี่รอบก็เหมือนเดิม ได้นักการเมืองหน้าใหม่หรือเก่าก็ไม่แตกต่าง ดังที่กล่าวแล้วว่าหลายประเทศในยุโรปที่ผ่านการต่อสู้ปฏิวัติประชาธิปไตย ผ่านการปกครองด้วยระบอบนี้อย่างยาวนานบัดนี้หันไปเลือกพรรคสุดโต่ง

สัญญาณบ่งบอกประชาธิปไตยเทียมเท็จ :

        หลายประเทศยึดระบอบประชาธิปไตยแค่เปลือกหรือเทียมเท็จ มีลักษณะดังนี้

        1.ขาดกลไกให้ประชาชนมีส่วนร่วม องค์กรของภาคประชาชนอ่อนแอ

        การมีส่วนร่วมของประชาชนมาจากหลายสาเหตุ การขาดกลไกให้ประชาชนมีส่วนร่วมเป็นหลักฐานว่าไม่เห็นความสำคัญต่อบทบาทประชาชน

        ประเทศอาจมีองค์กรภาคประชาชนจำนวนไม่น้อย แต่อ่อนแอขาดพลัง รัฐบาลไม่รับฟังความคิดเห็นและนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง นอกจากนี้บางประเทศมีองค์กรภาคประชาชนทั้งระดับท้องถิ่นกับระดับประเทศที่ชนชั้นปกครองจัดตั้งหรือครอบงำ แต่บอกว่าเป็นของประชาชน

        2.ปัญหาใหญ่น้อยเป็นหน้าที่ของรัฐ

        ประชาชนได้แค่สะท้อนปัญหา รัฐบาลบอกว่ารับฟังแต่กีดกันไม่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมแก้ปัญหาหรือมีส่วนร่วมแต่น้อย  (ผู้เข้าร่วมอาจเป็นกลุ่มประชาชน กลุ่มพลังที่ชนชั้นปกครองจัดตั้ง) ได้แต่เดินตามทางแนวทางที่รัฐบาลกำหนด

        3.สถาบันการเมืองต่างๆ เช่น พรรคการเมือง อยู่ใต้อำนาจของชนชั้นปกครอง

        พรรคการเมืองมีระบบฟังเสียงประชาชน มีเวทีให้สมาชิกเสนอความเห็น บางพรรคบางประเทศมีการถกเถียงอย่างดุเดือดเผ็ดร้อน แต่ที่สุดแล้วนโยบายพรรค การตัดสินใจของพรรคอยู่ในกลุ่มวงในไม่กี่คน

        4.การต่อสู้ทางการเมือง คือ การต่อสู้ของชนชั้นปกครอง

        การต่อสู้ช่วงชิงอำนาจการเมืองอาจเข้มข้น แต่อยู่ในแวดวงของนักการเมือง ผู้มีบารมีระดับท้องถิ่นกับประเทศ พ่อค้านักธุรกิจบริษัทใหญ่ ข้าราชการระดับสูง รวมความแล้วคืออยู่ในแวดวงชนชั้นปกครอง เพื่อประโยชน์ของชนชั้นปกครองเป็นหลัก

        สรุป ลักษณะของประชาธิปไตยจอมปลอมดูได้จาก 3 เรื่องสำคัญ ข้อแรกคือประชาชนไม่ค่อยมีส่วนร่วม ถูกกีดกัน ข้อ 2-3 อำนาจปกครองและผลประโยชน์อยู่ในมือของชนชั้นปกครองเป็นหลัก

        ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นเผด็จการหรือไม่ควรเป็นประเด็นถกเถียงต่อไป ผู้นำอย่างทรัมป์อาจเป็นเพียงแค่คนหนึ่งที่ผ่านมาแล้วผ่านไป ควรชื่นชมสหรัฐว่าพลเมืองของเขาอีกมาก หลายภาคส่วนของเขายังมีความเป็นประชาธิปไตยสูง ที่สรุปได้แน่นอนคือความเป็นประชาธิปไตยถดถอยในหลายประเทศรวมทั้งบรรดาประเทศที่เคยได้รับการยกย่องว่ามีความเป็นประชาธิปไตยอย่างน่าชมเชย

        ประชาธิปไตยที่ถดถอยหรืออำนาจนิยม “ที่เป็นภัย” มีอย่างหนึ่งตรงกัน คือ ส่งเสริมระบบอุปถัมภ์ ทุกอย่างเป็นของเพื่อนพ้องน้องพี่ ยึดความเป็นพวกมากกว่าหลักการ ที่ใดระบบอุปถัมภ์เบ่งบาน ที่นั่นผลประโยชน์ตกอยู่ในมือคนส่วนน้อย

        หลักการกระจายอำนาจไม่ทำงาน สถาบันปกครองสำคัญๆ ไม่เป็นที่พึ่งอีกต่อไป.

----------------------

ภาพ : ฮิตเลอร์

ที่มา : https://www.smithsonianmag.com/history/car-drove-hitler-its-road-trip-across-us-and-why-americans-flocked-see-it-180962547/


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"