‘โขง-เลย-ชี-มูล’ การจัดการน้ำในเขาวงกตรัฐไทย


เพิ่มเพื่อน    

โครงการบริหารจัดการน้ำโขง เลย ชี มูล เป็นโครงการบริหารจัดการน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาด้านการขาดแคลนน้ำในภาคอีสาน ด้วยคำกล่าวอ้างจากข้อมูลของสำนักทรัพยากรน้ำแห่งชาติที่กล่าวว่า “ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ครอบคลุมพื้นที่ 103.5 ล้านไร่ หรือประมาณ 1 ใน 3 ของประเทศ ประกอบด้วย 20 จังหวัด มีประชากร 21.9 ล้านคน มีลุ่มน้ำหลักที่สำคัญ 3 ลุ่มน้ำ คือ ลุ่มน้ำโขงอีสาน ลุ่มน้ำชี และลุ่มน้ำมูล มีพื้นที่การเกษตร 63.85 ล้านไร่ แต่เป็นพื้นที่เกษตรชลประทานเพียง 8.69 ล้านไร่ (ร้อยละ 13.61 ของพื้นที่การเกษตร) 
พื้นที่การเกษตรส่วนใหญ่ยังอาศัยน้ำฝน ประชาชนประสบทั้งปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก และปัญหาขาดแคลนน้ำอันเกิดจากฝนทิ้งช่วงในฤดูฝน และการขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง แหล่งกักเก็บน้ำต้นทุนมีน้อย เนื่องจากพื้นที่เป็นที่ราบสูงและมีลักษณะแบนราบ การนำน้ำมาใช้ส่วนใหญ่ต้องใช้การสูบน้ำจากแม่น้ำลำคลองเป็นหลัก ทำให้ผลผลิตข้าวนาปีในพื้นที่นาน้ำฝนต่ำกว่าผลผลิตในพื้นที่นาชลประทานถึง 1 ใน 3 (360 : 530 กก./ไร่) 
เกษตรกรในภาคอีสานมีรายได้เฉลี่ยต่อปีต่ำที่สุด หรือคิดเป็นร้อยละ 60 ของรายได้เฉลี่ยของเกษตรกรทั้งประเทศ (87,486 : 148,437 บาท/ครัวเรือน/ปี) มีคนยากจนมากถึง 1.93 ล้านคน (ร้อยละ 40 ของจำนวนคนยากจนทั้งประเทศ) นอกจากนี้ยังประสบปัญหาดินเค็ม 10.48 ล้านไร่ ซึ่งเป็นดินเค็มปานกลางถึงเค็มจัด 287,060 ไร่ (ร้อยละ 2.7) ส่วนที่เหลือเป็นดินเค็มน้อยถึงเค็มเล็กน้อย ซึ่งถ้ามีน้ำจะสามารถปลูกข้าวได้” 
 จากข้อมูลพื้นฐานนี้ กรมชลประทานได้มีการดำเนินการในการศึกษาโครงการ ศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment : SEA) โครงการบริหารจัดการน้ำโขง-เลย-ชี-มูล โดยแรงโน้มถ่วง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แล้วเสร็จเมื่อเดือนกรกฎาคม 2555 ซึ่งเป็นการศึกษาภาพรวมรูปแบบการพัฒนาโครงการเต็มศักยภาพ สามารถส่งน้ำให้พื้นที่การเกษตรเกือบทั้งหมดในลุ่มน้ำโขง ชี มูล และเนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่ ใช้เงินลงทุนสูงมาก กรมชลประทานจึงแบ่งโครงการออกเป็น 5 ระยะ โดยได้ดำเนินการศึกษาความเหมาะสมโครงการบริหารจัดการน้ำโขง เลย ชี มูล โดยแรงโน้มถ่วง : การพัฒนาระยะที่ 1 แล้วเสร็จเมื่อเดือนเมษายน 2560
ในส่วนของภาคประชาชนนั้น การดำเนินการศึกษาโครงการบริหารจัดการน้ำโขง-เลย-ชี-มูล โดยแรงโน้มถ่วง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้นได้มีการคัดค้านของชาวบ้านมาตั้งแต่เริ่มแรก เนื่องจากโครงการดังกล่าวนั้นเป็นการต่อยอดจากการดำเนินโครงการโขง ชี มูล ที่ดำเนินการมาแต่เดิม เช่น โครงการเขื่อนราษีไศล เขื่อนหัวนา และเขื่อนต่างๆ ที่อยู่ในลุ่มน้ำชีและน้ำมูล จำนวน 14 เขื่อน ซึ่งในระยะเวลาเกือบ 30 ปี ที่ชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบและความเดือดร้อนจากการเปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศของแม่น้ำและการเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตของตนเองกลับไม่ได้รับการเหลียวแลจากหน่วยงานรัฐอย่างทั่วถึง 
 ในหลายพื้นที่ของโครงการโขง ชี มูล เดิมชาวบ้านยังคงมีการเรียกร้องค่าชดเชยการสูญเสียที่ดินทำกิน และการเรียกร้องการแก้ไขปัญหาเยียวยาในปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะปัญหาการแพร่กระจายของดินเค็มที่จะมีปัญหาเพิ่มมากขึ้น ปัญหาน้ำท่วมภาคอีสานอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศ การไหลของแม่น้ำ ซึ่งเขื่อนเป็นปัญหาหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหานี้
ปัญหาที่ผ่านมาของการดำเนินโครงการโขง ชี มูลเดิม คือ การขาดกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ซึ่งได้เกิดปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ ซึ่งการที่มีการดำเนินการศึกษาโครงการบริหารจัดการน้ำโขง-เลย-ชี-มูล โดยแรงโน้มถ่วง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จัดไปแล้วนั้นไม่ได้มีการปรับปรุงกระบวนการให้เกิดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนอย่างแท้จริงขึ้นมาเลย กระบวนการศึกษาที่ผ่านมาจึงเป็นเพียงการจัดรับฟังความคิดเห็นเฉพาะกลุ่ม
 โดยเฉพาะจัดในกลุ่มที่เห็นด้วยกับโครงการ และโดยส่วนมากนั้นเป็นกลุ่มผู้นำ เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. ที่จะต้องมีความเห็นในการรับโครงการอยู่แล้ว ในส่วนของกลุ่มประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนกลับไม่ได้รับการเชิญเข้าร่วมเวทีดังกล่าว โดยเฉพาะกลุ่มชาวบ้านที่เคยได้รับผลกระทบจากโครงการโขง ชี มูลเดิม ซึ่งเป็นผู้มีประสบการณ์โดยตรงจากผลกระทบจากโครงการกลับถูกกีดกันออกไป 
จากการติดตามสถานการณ์ปัญหาของภาคประชาชน เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2564 เครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำโขงอีสาน ได้รับหนังสือแจ้งอย่างเป็นทางการ 2 ฉบับ จากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ลงวันที่ 16 กันยายน 2564 แจ้งผลเรื่องการพิจารณารายงานโครงการบริหารจัดการน้ำโขงการโขง เลย ชี มูล โดยแรงโน้มถ่วงระยะที่ 1 ซึ่งคณะผู้ชำนาญการได้พิจารณารายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโดยโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ (คชก.) ได้พิจารณารายงานเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2564 และมีมติให้ สทนช.และกรมชลประทานดำเนินการปรับปรุงแก้ไขรายงานดังกล่าว และ สทนช.จะต้องจัดทำข้อมูลเพิ่มเติมตามมติของ คชก. จนกว่าจะผ่านการพิจารณา  
ซึ่งเครือข่ายภาคประชาชนลุ่มน้ำโขงอีสาน  เห็นว่ารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านยุทธศาสตร์ของโครงการดังกล่าวได้ดำเนินการไปอย่างปราศจากกระบวนการมีส่วนร่วมอย่างทั่วถึงของประชาชนในลุ่มน้ำภาคอีสาน จึงทำให้รายงานนี้ไม่เข้าใจและไม่ได้กล่าวถึงมิตินิเวศวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น อีกทั้งโครงการบริหารจัดการน้ำโขง เลย ชี มูล ใช้งบประมาณจำนวนมากและมีผลกระทบโดยตรงต่อชุมชนจำนวนมาก ดังนั้นการประเมินผลกระทบควรคำนึงถึงและให้ความสำคัญกับกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างแท้จริง  
ดังนั้นข้อเรียกร้องของภาคประชาชนจากหลายองค์กรได้มีข้อเรียกร้อง คือ 1.คณะกรรมสิ่งแวดล้อมแห่งชาติควรมีการทบทวนโครงการโขง ชี มูล เดิม ว่ามีปัญหาที่เกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อมและชุมชนอย่างไร 2.ควรให้มีการจัดการศึกษาร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่ดำเนินการโครงการ ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม และภาคประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในโครงการ รับทราบปัญหา หาแนวทางแก้ไขปัญหาและตัดสินใจร่วมกันในการดำเนินโครงการ.

สุวิทย์ กุหลาบวงษ์

ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำโขง อีสาน

356bet allbet24hr chokdee777 empire777 g2g81 ipro689 juad888 jumboslot 99racha 1234superslot 19slot allslot88 ambbet999 g2g168t g2g56 ipro998 lucabet lucia168 fullslot 123kfc amb888 amb8888 betg8 betufa betvegas77


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"