ติดใจคดีครูแพะ ชงปรับกม.รื้อฟื้น ให้ยื่นเกิน1ครั้ง!


เพิ่มเพื่อน    

วงเสวนาถกคดีครูจอมทรัพย์ หลายฝ่ายเห็นตรงกัน ยังมีเสียงข้องใจบางประเด็นตอบสังคมไม่ได้ โดยเฉพาะหลักฐานการชนรถจักรยานของผู้ตาย อดีตรอง ผบก.จเรตำรวจเสนอแก้ พ.ร.บ.รื้อฟื้นคดีใหม่ ต้องยื่นได้มากกว่า 1 ครั้ง หลักฐานที่เป็นประโยชน์สามารถนำเข้าสู่คดีได้ อัยการระบุทำงานถูกล็อกด้วยเวลา ตำรวจผัดฟ้องฝากขัง

เมื่อวันอาทิตย์ ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เครือข่ายประชาชนปฏิรูปตำรวจ (คป.ตร.) Police Watch จัดเสวนาวิชาการหัวข้อ “คดีครูจอมทรัพย์ กับปัญหาการพิสูจน์ความจริงทางอาญาและการรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่”

โดยนายวันชัย บุนนาค ทนายความ กล่าวว่า คดีครูจอมทรัพย์จุดกระแสให้สังคมหันมาสนใจกระบวนการยุติธรรม มีการสอดรับการปฏิรูปตำรวจ แต่ต้องย้อนกลับไปก่อนว่าระบบยุติธรรมไทยเป็นระบบกล่าวหา เมื่อคดีครูจอมทรัพย์ผ่านสื่อมาก ก็มีนักกฎหมาย ผู้ชำนาญการด้านกฎหมายบางคนออกมาเสนอว่ากระบวนการยุติธรรมกรณีครูจอมทรัพย์มีข้อบกพร่องในชั้นทนายความในการต่อสู้คดี ที่แนะนำครูจอมทรัพย์ปฏิเสธและขอให้การในชั้นศาล ตรงนี้ไม่อยากให้ประชาชนสับสน เนื่องจากระบบกล่าวหาของไทย ภาระพิสูจน์อยู่ที่พนักงานสอบสวน อัยการ ศาล จะต้องรับฟังพยานปราศจากข้อสงสัย ในมุมมองเห็นว่าประเด็นแห่งคดีหลักๆ คือผู้กระทำความผิดต้องเป็นผู้ขับรถเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าเจ้าของรถจะเป็นผู้กระทำความผิด แต่กรณีนี้รถคันดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนมือหลายคน ชั้นสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานใช่รถคันที่ชนผู้เสียชีวิตหรือไม่ แต่นี้เป็นประเด็นรอง ประเด็นหลักคือคนขับเท่านั้นเป็นผู้กระทำความผิด แต่กรณีดังกล่าวจากคำให้การในชั้นสอบสวน ชั้นศาล และคำวินิจฉัยของศาลทุกศาลที่ตัดสินไปแล้ว แต่ไม่พูดถึงความบกพร่องของใคร

"พนักงานสอบสวนมีอำนาจและหน้าที่ในการสอบปากคำรวบรวมพยานหลักฐาน โดยเฉพาะพยานสำคัญคือประจักษ์พยาน อย่างเช่นคดีครูจอมทรัพย์ ประจักษ์พยานชั้นสอบสวนคือนางทัศนีย์และนางทองเรศ ผู้ต้องหาคือครูจอมทรัพย์ ถามว่าหน้าที่การทำให้ถ้อยคำปรากฏในชั้นสอบสวนให้ปรากฏรูปพรรณสัณฐานคนขับ ให้ปรากฏลักษณะเพศ ผู้กระทำความผิด ที่เป็นผู้ต้องหาที่อยู่ต่อหน้าพนักงานสอบสวน ปฏิเสธไม่ได้ว่าต้องเป็นพนักงานสอบสวนเท่านั้นที่ทำให้ปรากฏในสำนวน แต่กรณีนี้ในชั้นสอบสวน จะด้วยเหตุผลใดไม่มีใครทราบ แต่ถ้อยคำสำนวนรูปพรรณสัณฐานไม่ปรากฏว่าคนขับสูงต่ำดำขาว สวยขี้เหร่ หรือชายหรือหญิง ไม่มีปรากฏ"

นายวันชัยกล่าวอีกว่า หากมองอีกมุมหนึ่ง พยานคือประชาชนที่ไม่มีส่วนได้เสียในคดี แต่เมื่ออ้างว่าเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ ก็เป็นการยินยอมที่จะให้การต่อพนักงานสอบสวน เมื่อยินยอมพนักงานสอบสวนก็มีหน้าที่ในการทำถ้อยคำสอบสวนให้สมบูรณ์สิ้นกระแสความว่ารูปพรรณสัณฐานของคนขับที่ถูกกล่าวหาตรงกับผู้ต้องหาที่อยู่ข้างหน้าหรือไม่ แต่เรื่องนี้ไปถึงชั้นอัยการ ก็ไม่ปรากฏว่าในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาเป็นหญิง คนขับเป็นหญิง ทั้งที่ผู้ต้องหาที่ส่งอัยการเป็นหญิงชัดๆ เรื่องดำเนินต่อไปถึงศาล ปรากฏว่าพยานบุคคลทั้ง 2 ปากเป็นพยานที่เห็นเหตุการณ์จริงหรือไม่ แต่ปกติแล้วคนที่ยื่นมือเข้าไปช่วยทั้งที่ไม่มีส่วนได้เสีย ตนสันนิษฐานว่าเป็นพลเมืองดี แต่เมื่อไปเบิกความที่ศาล เบิกความว่าคนขับเป็นชาย ตรงนี้ถ้อยคำสำนวนที่ปรากฏในการพิจารณาคดีของศาลคือพยานสำคัญที่ศาลต้องพิจารณา ในเมื่อพยานให้การว่าคนขับเป็นชาย ต้องย้อนกลับไปที่พยานเอกสารที่ชั้นอัยการส่งสำนวนการสอบสวนของพนักงานสอบสวน โดยหลักการแล้วศาลจะลงโทษก็ต่อเมื่อปราศจากข้อสงสัย หากมีข้อสงสัยต้องประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ศาลต้องเชื่อในพยานหลักฐานที่ปรากฏเท่านั้น

ด้าน น.ส.จันทิมา ธนาสว่างกุล อัยการพิเศษฝ่ายแผนช่วยเหลือทางกฎหมาย สำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า กระบวนการกฎหมายสิ่งสำคัญคือเรื่องของพยานหลักฐาน แต่กระบวนการยุติธรรมของเราไม่เอื้อต่อการแสวงหาและค้นหาความจริง จึงเกิดประเด็นเหล่านี้ขึ้น เราเองเป็นอัยการ บางทียังมีข้อข้องใจในสำนวน แต่ทำอะไรไม่ได้มาก เราไม่ได้ทำงานแบบสากลมากนักที่เขาสงสัยแล้วจะลงไปถามข้อมูลเลย เพราะเราถูกล็อกด้วยเวลาการทำงานที่จะต้องส่งตัว และเรื่องของข้อเท็จจริงจะปรากฏแต่ในเอกสารเท่านั้น เมื่อถึงเวลากำหนดส่งตัวเป็นงานที่เร่งรีบถูกล็อกด้วยเวลาในการฝากขัง การทำงานจึงต้องมีเวลาในการค้นหาความจริง แต่กระบวนการไม่ได้ให้โอกาสเราค้นหาความจริงร่วมกับพนักงานสอบสวน นี่เป็นประเด็นการปฏิบัติและข้อกฎหมาย เคสแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะครูจอมทรัพย์ การแก้ไขต้องให้สำนักงานอัยการมีโอกาสในการทำงานค้นหาความจริง ถึงจะมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่ถูกล็อกด้วยเวลาการฝากของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

อัยการพิเศษฝ่ายแผนช่วยเหลือทางกฎหมาย สำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวต่อไปว่า ศาลบ้านเราข้อเท็จจริงขึ้นสู่ทั้ง 3 ศาล โดยศาลอุทธรณ์และฎีกาไม่มีโอกาสสำผัสเรื่องของพยานหลักฐาน เรื่องนี้เป็นข้อที่ต้องนำมาคิด หลักฐานทั้งหมดต้องกระจ่างที่ศาลชั้นต้นปราศจากข้อสงสัย การทำงานของต่างประเทศ ดีเอ็นเอ 20 สามารถเอาผิดผู้กระทำความผิดได้ แต่บ้านเรานิติวิทยาศาสตร์ยังทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพเท่าไหร่ ส่วน พ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีก็ถูกจำกัดด้วยข้อที่เคร่งครัด มีเงื่อนไขต้องเป็นหลักฐานใหม่ จะทำได้ต่อเมื่อข้อเท็จจริงเป็นพยานหลักฐานใหม่ที่ชัดแจ้งและมีผลกระทบต่อสิทธิ เรื่องนี้เจ้าหน้าที่ยุติธรรม ดีเอสไอ ต้องมีส่วนรับผิดชอบ เพราะเป็นคนรับเรื่อง ต้องดูเอกสารพยานหลักฐานต่างๆ ว่าครบสมบูรณ์หรือไม่

ส่วน พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร อดีตรองผู้บังคับการจเรตำรวจ และคอลัมนิสต์ “เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ” กล่าวว่า คดีครูจอมทรัพย์สิ้นสุดแล้ว แต่อย่างไรก็ตามนั้น เป็นนัยทางกฎหมาย แต่ยังคาใจผู้คนจำนวนมากที่รักความยุติธรรม สิ่งที่ดีที่สุดคือพยานหลักฐานที่เชื่อถือได้ คือหลักฐานวิทศาสตร์ พยานบุคคล แต่ยังมีความคลาดเคลื่อนอยู่บ้าง ทั้งเรื่องระยะเวลา การถ่ายทอด การบันทึก ส่วนพยานวิทยาศาสตร์ ต่างชาติคงขำกระบวนการยุติธรรมไทยไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ารถชนกันหรือไม่ มันเป็นเรื่องง่ายมากที่ว่ารถชนกันหรือไม่ ในคดีนี้ศาลอุทธรณ์ก็คิดตามเรา คือรถไม่ได้ชนกัน แต่การรื้อฟื้นคดีใหม่ไม่ได้พูดถึงประเด็นป้ายทะเบียนรถลักษณะการชนประเด็นนี้จึงตกไป พูดถึงนายสับ วาปี ตั้งแต่มี พ.ร.บ.รื้อฟื้นคดีมา มีการสั่งรื้อฟื้นเพียง 3 คดี โดยคดีครูจอมทรัพย์วินิจฉัยว่าไม่ใช่หลักฐานใหม่ที่ชัดแจ้งและสำคัญ

นอกจากนี้ พ.ต.อ.วิรุตม์ได้นำเสนอภาพรถจักยานของผู้เสียชีวิตถูกรถปิกอัพชนจนได้รับความเสียหาย ล้อเบี้ยว โครงสร้างรถยุบ คดีนี้เหล็กชนกัน ทั้งรถจักรยานและรถปิกอัพเป็นโลหะ วิ่งสวนทางกันด้วยความเร็วประมาณ 80 กม.ต่อชั่วโมง และปรากฏสีเขียวติดที่จักรยาน 3 ตำแหน่ง รถของครูจอมทรัพย์สีบรอนซ์ทอง มีสีเขียวเฉพาะที่ป้ายทะเบียนซึ่งเป็นตัวอักษร ถ้ารถชนกันแล้วทำไมป้ายทะเบียนไม่ถลอกหรือยุบ หรือมีรอยอะไรมากกว่านี้ แต่เจ้าพนักงานพิสูจน์หลักฐานไปเบิกความว่ามีรอยถลอก เอกสารรายงานของพิสูจน์หลักฐานสีที่ติดอยู่เกิดจากการแลกเปลี่ยน บริเวณที่เป็นไปได้คือแผ่นป้ายทะเบียนด้านหน้ารถของกลาง แต่การตรวจสอบไม่พบรอยยุบของแผ่นป้ายทะเบียนเลย เป็นไปได้อย่างไรที่รถชนกันจนรถจักรยานล้อบิดเบี้ยวแล้วแผ่นป้ายทะเบียนไม่เป็นอะไรเลย ความหมายก็คือรถไม่ได้ชนกัน เพราะไม่พบรอยบุบยุบ การลงความเห็นรถชนกันนั้นจะต้องมีรูปรอยที่เข้ากันได้ โลหะกระทบกันต้องเข้ากันได้ การลงความเห็นของพนักงานสอบสวนคือมีรูปรอยที่เข้ากันได้ ส่วนเรื่องวิทยาศาสตร์คือสีของรถทั้ง 2 คันที่จะติดซึ่งกันและกัน ที่จะเอาไปวิเคราะห์วิทยาศาสตร์ทางเคมี ไม่ต้องมาพิสูจน์ในชั้นศาล แต่กรณีของครูจอมทรัพย์ ไม่ปรากฏการลงความเห็นรูปรอยที่เข้ากันได้ กรณีนี้สรุปความเห็นว่ารถชนไม่ได้ การทำคดีสำคัญๆ ต้องกำหนดให้อัยการมีอำนาจตรวจสอบการสอบสวนคดีสำคัญๆ หรือเมื่อมีการร้องเรียนว่าการกระทำโดยชอบครบถ้วนตามกฎหมายด้วยความยุติธรรมหรือไม่ ที่สำคัญการสอบปากคำต้องมีการบันทึกภาพและเสียง ต้องกำหนดให้กระทำในห้องสอบสวนที่มีระบบบันทึกภาพและเสียงเท่านั้น จะได้ไม่ต้องมานั่งโต้แย้งที่พูดมากมายไม่ได้จด หรือที่จดไม่ได้พูดเหมือนกรณีนางทัศนีย์ที่ให้สัมภาษณ์สื่อว่าไม่เห็นตัวอักษรข้างหน้าและหมวดจังหวัด แต่กลับปรากฏในบันทึกปากคำที่พนักงานสอบสนอ่านให้ฟัง ส่วนที่คนขับเป็นชายกลับบอกไม่ได้บันทึก ทำให้ศาลเชื่อว่าไม่น่าจะพูดพนักงานสอบสวนก็ต้องบันทึกไว้ การบันทึกภาพและเสียงก็จะเป็นหลักประกันในการแจ้งข้อหาบุคคล รวมทั้งการฟ้องและการพิพากษาเป็นไปอย่างยุติธรรม

"การพิสูจน์ต้องกระจ่างแจ้ง พ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีใหม่ยังไม่ได้ผล พ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีใหม่ต้องมีการเพิ่มเติมให้ศาลมีอำนาจวินิจฉัยมากขึ้น สามารถจะนำหลักฐานที่เป็นประโยชน์เข้าสู่กระบวนการค้นหาความจริง ไม่ใช่กำหนดเฉพาะหลักฐานใหม่เท่านั้น เพราะหลักฐานเก่าก็ยังเป็นที่สงสัย และสามารถยื่นเรื่องให้มีการรื้อฟื้นได้มากกว่า 1 ครั้ง เพราะ พ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีใหม่นี้กำหนดให้ยื่นเรื่องได้เพียงครั้งเดียว เพื่อประโยชน์ความยุติธรรมของมนุษย์" พ.ต.อ.วิรุตม์ระบุ.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"