จาก 'ไทยรักไทย' ถึง 'พลังประชารัฐ' การสร้างอำนาจด้วย 'วิธีเดียวกัน'


เพิ่มเพื่อน    

        การเคลื่อนไหวของ กลุ่มสามมิตร ภายใต้การนำของ “3 ส.” สมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มมัชฌิมา, สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตเลขาธิการพรรคไทยรักไทย และสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่ไม่ได้เปิดเผยตัว แต่รับรู้กัน กลายเป็นการเคลื่อนไหวที่น่าจับตามากที่สุดบนสนามการเมืองนาทีนี้

        ที่น่าจับตาและน่าสนใจ นั่นเพราะการรุกคืบแบบดุดัน ในการดึงอดีต ส.ส.ทั่วประเทศ โดยเฉพาะของพรรคเพื่อไทย เข้ามาร่วมกับ พรรคพลังประชารัฐ

        แต่ละวันมีชื่อนักการเมืองเข้าไปพัวพันกับ "กลุ่มสามมิตร" จำนวนมาก และข่าวลือพวกนั้นมักจะเป็นจริงเกือบแทบทุกราย

       “สุพล ฟองงาม” อดีตเลขาธิการพรรคเพื่อไทย อดีต รมช.มหาดไทย นักการเมืองใหญ่ จ.อุบลราชธานี ที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เตรียมจะนำคณะรัฐมนตรีไปประชุมกันในพื้นที่ดังกล่าวก็เช่นกัน

        พลันมีข่าว “บิ๊กตู่” จะลงพื้นที่ จ.อุบลราชธานี ชื่อของ “สุพล” ก็ถูกจับโยงว่า ถูก “กลุ่มสามมิตร” ใช้ “พลังดูด” รวบเข้าก๊วนเป็นที่เรียบร้อย

       แม้จะไม่มีการออกมายอมรับ แต่ท่าทีของ “สุพล” ต่อข่าวลือดังกล่าวที่เกิดขึ้นก็สอดรับไปในทางนั้น คือ เขาพร้อมจะไปต้อนรับหรือหารือกับคณะของ “บิ๊กตู่” แตกต่างจากอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยคนอื่นๆ ที่ห้ามสมาชิกออกไปร่วม ซึ่งนั่นน่าจะเป็นสิ่งยืนยันได้ดี

        กรณีของ “สุพล” ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น เพราะทุกครั้งที่ “บิ๊กตู่” ยกคณะไปลงพื้นที่ตามต่างจังหวัด มักจะมีนักการเมืองเจ้าของพื้นที่หลายคนมีข่าวพัวพัน และลงเอยแบบนี้เสมอ

       ตั้งแต่คราวไป จ.สุโขทัย ที่ “สมศักดิ์” นำสมาชิกกลุ่มมัชฌิมาไปต้อนรับ การไปภาคตะวันออก จ.จันทบุรี ที่ “สนธยา คุณปลื้ม” หัวหน้าพรรคพลังชล นำสมาชิกของ จ.ชลบุรี ทั้งหมดไปร่วมหารือ หรือแม้แต่ที่ จ.นครสวรรค์ ที่ปรากฏอดีต ส.ส.ภาคเหนือตอนล่างหลายคน นำโดย “อนุชา นาคาศัย” อดีต ส.ส.ชัยนาท พรรคไทยรักไทย ไปร่วมนั่งฟังเวทีพบปะประชาชนของ “บิ๊กตู่”

        ที่ผ่านมาหลายฝ่ายมองว่า การไปประชุม ครม.สัญจรของ “บิ๊กตู่” แต่ละครั้งเหมือนการไป “ดูด” อดีต ส.ส.เหล่านี้มาเข้าก๊วน “พลังประชารัฐ” ทว่า ความเป็นจริง คนเหล่านี้ล้วนถูก “กลุ่มสามมิตร” ทาบทามไว้สำเร็จหมดแล้วตั้งแต่ก่อน ครม.จะตราทัพไปด้วยซ้ำ

        การประชุม ครม.สัญจร แท้จริงจึงเป็นเหมือนการเข้าไปในลักษณะ เปิดตัวแนวร่วม หรือการไปทำพื้นที่ที่มีนักการเมืองที่ ลงเรือลำเดียวกัน แล้วมากกว่า

        จึงไม่แปลกที่การดึงอดีต ส.ส.เข้าร่วม “กลุ่มสามมิตร” จะได้รับความสนใจและพูดถึงกันมากกว่าพรรคอื่นๆ เพราะแต่ละคนล้วนเป็นบิ๊กการเมือง และคนที่เคยอยู่ในขั้วอำนาจเก่าแทบทั้งสิ้น

        ขณะเดียวกัน การดูดอย่างต่อเนื่อง และมากขึ้นทุกทีของ “กลุ่มสามมิตร” แสดงให้เห็นว่า มันไม่ใช่การย้ายขั้วธรรมดา หากแต่เหมือนเป็นการสร้างกลุ่มการเมืองใหม่ “ขนาดใหญ่” ขึ้นมาอีกกลุ่มในการเมืองไทย

       อีกทั้งผลของการดูดเพื่อสร้างกลุ่มการเมืองขนาดใหญ่ ยังส่งผลกระทบต่อความอ่อนแอของกลุ่มขั้วอำนาจเก่าอย่าง “พรรคเพื่อไทย” โดยตรง เพราะเป้าหมายส่วนใหญ่คือ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย

        มันเป็นกราฟที่สวนทางกันระหว่าง “กลุ่มสามมิตร” กับ “เพื่อไทย” คนหนึ่งโตขึ้น อีกคนค่อยๆ เล็กลง

        การเคลื่อนไหวของ “กลุ่มสามมิตร” ยังเป็นไปในลักษณะใกล้เคียงกับตอนที่ “ทักษิณ ชินวัตร” สร้างอาณาจักร “ไทยรักไทย” ในยุคแรก คือ การดึง ส.ส.จากกลุ่มต่างๆ ให้เข้ามาอยู่กับตัวเอง ซึ่งเป็นการทำลายคู่แข่งทางอ้อม บางพรรค บางกลุ่มก้อนทางการเมือง หายไปจาก “โมเดล” นี้

        ที่สำคัญ ตัวละครที่ “ทักษิณ” ซึ่งตอนนั้นมี “สุริยะ” เป็นผู้ร่วมก่อการ ดูดเข้าไปอยู่กับ “ไทยรักไทย” ต่างก็เป็นอดีต ส.ส.คนคนเดียวกับที่ “กลุ่มสามมิตร” กำลังดึงเข้ามาอยู่ “พลังประชารัฐ”

        วันนี้ที่ต่างกันคือ “กลุ่มสามมิตร” ภายใต้การผลักดันของ ขั้วอำนาจปัจจุบัน เป็นคนดูด ส่วน “ทักษิณ” เป็นคนถูกดูด และเปลี่ยนจาก “ไทยรักไทย” มาเป็น “พลังประชารัฐ”

        นอกนั้นแทบจะเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นอดีต ส.ส.ที่เคยถูกดูดเข้าพรรคไทยรักไทย รัฐบาลปัจจุบันที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่าอยู่เบื้องหลัง “กลุ่มสามมิตร” มีอำนาจแทบจะเบ็ดเสร็จ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ กองทัพ

        เรื่อยไปถึงองค์กรอิสระบางแห่ง ที่มีการสรรหาบุคคลที่ใกล้ชิดบุคคลในรัฐบาลเข้าไปมีอำนาจ ซึ่งนักการเมืองที่มาเข้าร่วมกับ “กลุ่มสามมิตร” ส่วนใหญ่มีชนักปักหลังเรื่องคดีความแทบทั้งสิ้น

        มันจึงเป็นการเคลื่อนไหวที่เป็นระดับ “ปรากกฏการณ์” และมีความสำคัญต่อทิศทางการเมืองในอนาคต

        เหนือสิ่งอื่นใด แม้ปัจจุบันบุคคลในรัฐบาลจะออกมาปฏิเสธว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ “กลุ่มสามมิตร” แต่อย่างใด แต่พฤติกรรมที่แสดงออกมา เป็นเครื่องยืนยันถึงความ “สอดประสาน” ไปในทิศทางเดียวกัน

        การที่ “สุริยะ” พูดกับอดีต ส.ส.ที่สนามไพน์เฮิร์สท ย่านรังสิตว่า พร้อมสนับสนุน “บิ๊กตู่” เป็นนายกฯ อีกสมัย การที่สมาชิกกลุ่มสามมิตรเดินสายพูดคุยกับ นปช. กปปส. การออกมาแถลงถึงแนวทางการช่วยเหลือ นโยบายต่างๆ สามารถทำได้โดย “อิสระ”

        บุคคลในรัฐบาลไม่ว่าใคร ไม่มีการตำหนิ ตักเตือน หรือเฝ้าติดตาม เหมือนกับการเคลื่อนไหวของ “เพื่อไทย” ช่วงก่อนหน้านี้ ขณะเดียวกันก็ยืนยันว่า ไม่ใช่กิจกรรมทางการเมือง และเปิดทางกรณีถ้าจะมีการขออนุญาตเพื่อประชุมกับ นปช.ตามจังหวัดต่างๆ

        แน่นอน ณ วันนี้ รัฐบาลอาจโต้ข้อกล่าวหาเรื่องการอยู่เบื้องหลัง “กลุ่มสามมิตร” ได้ เพราะยังไม่มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ

        แต่ถ้าวันหนึ่ง “เปิด” มันก็จะเป็นการแสดงให้เห็นว่า จริงแล้วรัฐบาลไม่ได้ปฏิรูปการเมือง โดยผลักดันคนรุ่นใหม่ นักการเมืองหน้าใหม่ในอุดมคติมาแก้ปัญหา “การเมืองไทย” แต่กำลังใช้วิธีเดิม สร้างอำนาจใหม่ แทน “อำนาจเก่า” ที่ “ทักษิณ” เคยมี

        กล่าวคือ ล้าง “ระบอบทักษิณ” มาสู่อีกระบอบหนึ่ง

       คงเร็วไปที่จะคาดการณ์ว่า มันวนเข้าสู่ลูปเดิม เมื่ออำนาจเปลี่ยนมือมาอยู่อีกขั้วแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ท้าทายคือ จะทำอย่างไรไม่ให้ย่ำซ้ำรอย “ทักษิณ”

        เพราะอย่าลืมว่า ยุคนั้น “ทักษิณ” มีอำนาจใกล้เคียงกับที่รัฐบาลปัจจุบันมี และตัวละครที่ “กลุ่มสามมิตร” ดูดเข้ามา ต่างก็เป็นคนคนเดียวกันในยุคนั้น

        หาก “บิ๊กตู่” ได้เป็นนายกฯ อีกสมัย โดยการผลักดันจาก “กลุ่มสามมิตร” แล้ววันหนึ่งเกิดการทุจริตกับคนในรัฐบาล จะกล้าจัดการอย่างเด็ดขาดหรือไม่ ในเมื่ออดีต ส.ส.เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ทำให้ “บิ๊กตู่” ก้าวเข้าสู่เก้าอี้นายกฯ ครั้งที่ 2

       จะควบคุมการใช้อำนาจที่มีอยู่อย่างล้นหลามอย่างไร จะคุมคนเหล่านี้อย่างไรให้อยู่ในกติกา ไม่แตกแถว หรือทำในสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีตมาแล้วหนหนึ่ง

        ถ้าทำได้ดีกว่า คือ การเมืองมีเสถียรภาพ ไม่มีคอร์รัปชัน มีนโยบายที่มีประโยชน์ต่อประชาชน ก็ถือเป็นทางออกหนึ่งในการแก้ไขปัญหาการเมืองที่หมักหมมมานาน

       แต่ถ้ามันออกมาตรงกันข้าม มันก็ไม่ต่างอะไรกับการนับหนึ่งในการพาประเทศไปสู่จุดที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว!!!.

                                                                          ทีมข่าวการเมือง


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"