อีสานรัก'ลุงตู่'สู้ตาย 'ประยุทธ์'หยอดคำหวานทิ้งทวน/'บิ๊กป้อม'เดี้ยงแพ้อาหาร


เพิ่มเพื่อน    

     “ประยุทธ์” อ้าแขนพบได้ทุกคน ยกเว้นพวกมีปัญหาทางกฎหมาย ย้ำลงพื้นที่ไม่ได้มาหาเสียง แต่มาทำให้ประชาชนและประเทศ ลั่นประชาธิปไตยไม่ใช่สำหรับคนรวยเท่านั้น นายกฯ ไม่ใช่คนวิเศษที่ต้องยกมือไหว้ เป็นแค่คนรับใช้ โอ่พูดได้ต่อเนื่อง 5 ชม.เพราะรู้ทุกเรื่อง เพื่อไทยพาเหรดอัด ครม.สัญจร ส่วน “ลุงป้อม” อาหารเป็นพิษ ต้องรีบหามกลับกรุงเทพฯ ทันที 
     เมื่อวันพุธ ที่อาคารเทพรัตนสิริปภา มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี จ.อุบลราชธานี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ถึงการพบนักการเมืองในพื้นที่จังหวัดต่างๆ  ว่าการพบปะไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหรือไม่ใช่นักการเมือง ยินดีพบทุกคนไม่ว่าใครก็ตาม แต่ที่มีปัญหาพบไม่ได้ ซึ่งปัญหาอย่างเดียวคือเรื่องของกฎหมาย ซึ่งเป็นเรื่องของส่วนบุคคล ถ้าไม่ใช่เรื่องเหล่านี้ก็พบได้ทุกคน และสิ่งที่พูดไปต้องการให้ทุกคนเข้าใจว่าไม่ได้ต้องการอะไร
     พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า การมาทำหน้าที่ตรงนี้ไม่ได้ต้องการอะไรเลย ต้องการเห็นประเทศชาติมีความสงบสุข ซึ่งปัญหาต่างๆ เหล่านี้เกิดมากี่ปีแล้วก็เกิดมาตลอด ถ้าเราไม่แก้ในสมัยนี้มันก็ตายไปกับเราอีก วันหน้าก็จะเป็นอยู่อย่างนี้ รัฐบาลใหม่มาก็เป็นอยู่แบบนี้ แล้วเราจะมาวิพากษ์วิจารณ์ให้เสียหายได้อย่างไร หลายอย่างที่ไม่เคยทำก็ทำเสียหลายอย่าง ที่ทำแล้วไม่ดีก็ปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น หลายอย่างมีการประเมินผล ไม่ใช่เพียงแต่จะจ้องดูว่าวันนี้จะได้เงินเท่าไหร่ งบประมาณลงตรงไหน 
“ผมไม่เข้าใจกับสิ่งที่วิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียลฯ ทั้งนี้ การจะอนุมัติงบประมาณแต่ละพื้นที่ต้องมีโครงการ และต้องสร้างห่วงโซ่มูลค่าให้เกิดขึ้นในทุกจังหวัด อย่าเอาผมไปขัดแย้งกับใครทั้งสิ้น ไม่ว่าจะพรรคการเมืองใดก็แล้วแต่” นายกฯ ย้ำ
     ภายหลังการประชุม ครม.สัญจร คณะ พล.อ.ประยุทธ์ได้เยี่ยมชมแอ่งท่องเที่ยวขัวน้อยบ้านชีทวน โดยเมื่อเดินทางถึง พล.อ.ประยุทธ์ถือพานขันหมากเบ็ง (พานดอกไม้บูชาถวายพระ) ขบวนเทศน์ปฐมสมโภชแบบโบราณ โดยมีขบวนฟ้อนกลองตุ้มต้อนรับเข้ามายังหอแจกเพื่อกราบนมัสการพระเทพปัญญามุณี เจ้าอาวาสอาวุธวิกสิตาราม ซึ่งพระเทพปัญญามุณีได้มอบของที่ระลึกและเหรียญพระพุทธวิเศษให้นายกฯ ด้วย
     จากนั้นพระเทพปัญญามุนีได้ขึ้นธรรมาสน์สิงห์เทิน เพื่อเทศน์ปฐมสมโภชโบราณให้นายกฯ และคณะรับฟัง ในเนื้อหาการเป็นผู้นำที่ดีของผู้บริหารประเทศ โดยระบุว่านักบริหารหรือผู้นำที่ดีต้องอดทน ยิ้มแย้มแจ่มใส ต้องมีการตื่นตัวรู้เท่าทันต่อสถานการณ์ ต้องมีความขยันหมั่นเพียร ไม่ท้อถอยต่ออุปสรรค ต้องมีความเอื้อเฟื้อแบ่งปันแบ่งงานกระจายงาน ต้องมีความเมตตากรุณา มีความเป็นธรรม มีความเที่ยงธรรม และต้องมีความรอบคอบตรวจสอบติดตามงานของผู้ใต้บังคับบัญชา หากเกิดปัญหาต้องช่วยแก้ไข 
ทั้งนี้ การเทศน์ปฐมสมโภชดังกล่าวเป็นประเพณีแหล่งวัฒนธรรมของชาวชีทวน ซึ่งจะมีปีละครั้งในช่วงเทศกาลเข้าพรรษาเท่านั้น
ไม่ต้องยกมือไหว้นายกฯ
     โอกาสนี้ นายกฯ ได้เยี่ยมชมวัดศรีนวลแสงสว่างอารมณ์ เยี่ยมชมผลิตภัณฑ์โอท็อปของ ต.ชีทวน และสักการะหลวงพ่อพุทธวิเศษ ณ วัดทุ่งศรีวิไล ทั้งนี้ ช่วงหนึ่งในการทักทายชาวบ้านที่มาต้อนรับ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ทุกคนต้องร่วมมือกันทำให้บ้านเมืองสงบสุข ร่มเย็น ปัญหาความขัดแย้งแตกแยกต้องเลิกได้แล้ว จะต้องไม่แบ่งพวกแบ่งฝ่ายอีกต่อไป คำว่าประชาธิปไตยต้องเป็นประชาธิปไตยสำหรับทุกคน อย่าให้ใครมาบอกว่าเป็นประชาธิปไตยสำหรับคนรวยเท่านั้น โดยประชาชนทุกคนต้องเข้าถึงโอกาส ทำตามกฎหมายและกติกา ซึ่งกติกามีไว้เพื่อไม่ให้สังคมวุ่นวาย อลหม่าน เมื่อสังคมไม่อลหม่านไม่ขัดแย้ง ไม่ปลุกระดมให้เกลียดชังกัน สังคมก็จะมีความสงบเรียบร้อย
    โดยในระหว่างที่นายกฯ พูด ได้มีประชาชนยกมือขึ้นไหว้ พล.อ.ประยุทธ์จึงกล่าวว่า เอามือลง มือเอาไว้ไหว้พระ ไหว้เจ้านาย นายกฯ เป็นคนรับใช้ อย่าคิดว่าเป็นนายกฯ แล้วจะวิเศษวิโส ขณะเดียวกันคนเราถ้าทำความดี ทำสิ่งที่ดีงาม ก็ไม่ต้องไปหลบตาใคร เพราะดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ 
     “วันนี้ไม่ได้มาหาเสียง แต่มาใช้เสียงพูด ถ้าไม่รักนายกฯ ไม่เป็นไร แต่ผมจะทำให้ ถามว่ามีใครพูดได้อย่างผมบ้าง เพราะผมเองสามารถพูดต่อเนื่องได้ 5 ชั่วโมง ที่พูดได้เพราะอ่านเยอะ และรู้ปัญหาทุกกระทรวง” นายกฯ กล่าว และว่า การเป็นหัวหน้ารัฐบาลไม่ใช่แค่อนุมัติงบประมาณ แต่การบริหารราชการแผ่นดินต้องรู้ทุกเรื่อง ไม่ใช่ฟังแล้วไม่รู้เรื่องอะไร และไม่จำเป็นต้องให้ใครมาชอบ แต่จะทำให้อยู่แล้ว เพราะนี่คือประเทศไทย และไม่ได้ทำเพื่อรัฐบาลหรือเพื่อ คสช. ขออย่าวนกันอยู่เรื่องเดิมๆ ไม่เช่นนั้นความคิดใหม่ๆ ก็ไม่เกิด ส่วนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีก็ไม่ได้วางไว้เพื่อสืบทอดอำนาจแต่อย่างใด
     จากนั้นตัวแทนชาวบ้านได้ร่วมกันร้องเพลงสู้เพื่อแผ่นดิน พร้อมตะโกนว่า "พวกเรารักลุงตู่ ลุงตู่สู้ๆ" พล.อ.ประยุทธ์ถึงกับยิ้มก่อนตะโกนตอบกลับทันทีว่า "ถ้ารักลุงตู่ ลุงตู่สู้ตาย" จากนั้นคณะ พล.อ.ประยุทธ์เดินทางไปที่ศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉินและสั่งการจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อเยี่ยมชมศูนย์ปฏิบัติการแพทย์ฉุกเฉิน กู้ชีพ องค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลราชธานี
ชี้อีสานพร้อมเลือกตั้ง
     ด้าน พล.อ.ประวิตรกล่าวก่อนประชุม ครม.สัญจรถึงการลงพื้นที่ว่ามีนัยทางการเมือง ว่ามาทำงาน เมื่อวันที่ 23 ก.ค.ก็มาเยี่ยมตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง ยังไม่ได้เจอใครเลย ส่วนกระแสดูด ส.ส.ภาคอีสานนั้น ไม่รู้จักใครเลย 
     เมื่อถามถึง 14 อดีตนักการเมืองที่มาพบนายกฯ โดยระบุว่าจะเข้าพรรคพลังประชารัฐนั้น พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ให้ไปถามเขาเอง จะไปรู้ได้อย่างไร บอกไปหลายทีแล้ว ไม่มีการดูดอะไร
     เมื่อถามว่า ฝ่ายความมั่นคงได้รับรายงานเรื่องการเคลื่อนไหวทางการเมืองในพื้นที่อีสานหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ไม่มีอะไร เรียบร้อยดี ไม่มีความขัดแย้ง พร้อมเลือกตั้ง
     นายพิสิษฐ์ สันตพันธุ์ อดีต ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกระแสข่าวเตรียมย้ายออกจากพรรคว่า ไม่เคยคิดจะย้าย ยังยึดมั่นในความต้องการของพี่น้องประชาชนที่สนับสนุนให้ทำงานกับพรรคเพื่อไทยต่อไป และขอให้คนที่ติดต่อประสานงานมายังตนเองกับภรรยา ควรเลิกได้แล้ว เป็นตายก็ไม่ย้าย 
     นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษก พท. กล่าวถึงการประชุม ครม.สัญจร ว่าก่อนไป พล.อ.ประยุทธ์บอกว่าไม่มุ่งหวังผลทางการเมือง อ้างไปติดตามงาน แต่ประชาชน 61.21% สะท้อนผ่านสวนดุสิตโพล ระบุ ครม.สัญจรมีนัยทางการเมือง วันนี้ก็ชัดเจนว่าชุดความคิดของใครถูกต้อง ส่วนการที่ท่านไปขอความเห็นใจกับชาวบ้านนั้น ต้องเข้าใจว่าไม่มีใครขอให้เข้ามาเป็นนายกฯ การบ่นว่าปัญหาสะสมเพราะเลือกผู้นำผิดนั้น ไม่แน่ใจว่าหมายถึงใครหรือเป็นความผิดของใคร ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะโทษกันไปมาไม่จบสิ้น การพูดดังกล่าวจึงดูเหมือนไม่ใช่ท่าทีที่สร้างสรรค์ ความปรองดองจะเกิดได้ต้องเริ่มต้นที่ตัวท่านเองก่อนหรือไม่
     “ท่านบอกว่าจากนี้ใครด่าจะชกปาก คิดว่าประชาชนฟังแล้วคงรู้สึกตกใจ เสมือนเป็นการใช้ความรุนแรงผ่านคำพูดข่มขู่ มาตรฐานคุณธรรมจริยธรรม ธรรมาภิบาลของผู้นำประเทศควรมีบรรทัดฐานที่สูงกว่านี้หรือไม่ จึงขอเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ถอนคำพูด และออกมาขอโทษประชาชน เพราะท่าทีแบบนี้ไม่เป็นประโยชน์ และขัดต่อบรรยากาศการสร้างความปรองดอง” นายอนุสรณ์กล่าว
     ร.ท.หญิงสุณิสา ทิวากรดำรง สมาชิกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พฤติกรรมของรัฐบาลที่เลือกปฏิบัติกับกลุ่มคนคิดต่างนั้น เหมือนส่งสัญญาณว่าใครเลือกยืนข้างเดียวกับรัฐบาล ก็จะมีหน้ามีตา ส่วนใครที่ยืนอยู่ฝ่ายตรงข้าม ก็ต้องทำใจว่าอาจเสี่ยงติดคุกติดตะราง ถ้าขบวนการดูดนักการเมืองใช้หลักคิดแบบนี้ ก็ถือว่าอันตรายและจะเกิดการเมืองน้ำเน่าในอนาคต เพราะนักการเมืองไม่ได้เลือกสังกัดพรรคเพราะมีอุดมการณ์ตรงกัน แต่เลือกที่จะยืนข้างความไม่ถูกต้องเพื่อหนีตายหรือเพื่อเอาตัวรอด ประชาชนจึงต้องระวังอย่าเลือกนักการเมืองสายพันธุ์เผด็จการมาเป็นผู้นำ
     “ประวิตร”อาหารเป็นพิษ
     ทั้งนี้ ในระหว่างประชุม ครม.สัญจร  เมื่อเวลา 14.15 น. พล.อ.ประวิตรได้เดินทางออกจากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี โดยมีท่าทางอ่อนเพลีย และมีแพทย์และพยาบาลรออยู่ภายในรถยนต์ประจำตำแหน่ง ซึ่ง พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ชี้แจงสั้นๆ ว่า พล.อ.ประวิตรมีอาการอาหารเป็นพิษ โดยจะไม่เดินทางไปรักษาที่โรงพยาบาล แต่จะเดินทางกลับกรุงเทพฯ ทันที 
     สำหรับเมนูอาหารกลางวันของ ครม.สัญจรนั้น ประกอบด้วย  ข้าวผัดหมู กุ้งอบเกลือ ต้มแซบเนื้อลาย ตำข้าวโพดกุ้งสด ลาบทอด คอหมูย่าง ส้มตำหมูยอไทยปู ขนมจีนน้ำยา 4 ภาค กวยจั๊บญวน บัวลอยมะพร้าวอ่อน และผลไม้คือทุเรียน
     พล.อ.ประยุทธ์กล่าวเรื่องนี้ว่า ไม่มีอะไรหรอก เป็นปกติอาหารไม่ย่อย ไม่เป็นอะไร
     พล.ท.คงชีพกล่าวอีกครั้งว่า พล.อ.ประวิตรมีอาการปวดท้อง จุกเสียดในช่วงท้ายการประชุม ครม.จึงได้ออกมาให้หมอดูอาการ และกินยาขับลมระบาย ก่อนนั่งพักจนอาการดีขึ้นโดยไม่ได้ให้น้ำเกลือ ส่วนอาการอาหารเป็นพิษของ พล.อ.ประวิตรนั้น ไม่รู้ว่าเกิดจากการรับประทานอาหารชนิดใด เนื่องจากวันนี้รับประทานอาหารหลากหลาย แต่ขณะนี้ พล.อ.ประวิตรได้ขึ้นเครื่องและเดินทางกลับถึงบ้านพักเรียบร้อยแล้ว 
     วันเดียวกัน พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวว่า ที่ประชุม กกต. มีมติเห็นชอบให้นายทะเบียนพรรคการเมืองรับจดทะเบียนให้พรรคทางเลือกใหม่ ที่มีนายราเชน ตระกูลเวียง เป็นหัวหน้าพรรค และพรรคมติประชา ที่มีนายอนุชิต งามพัฒนพงศ์ชัย เป็นหัวหน้าพรรค เป็นพรรคการเมือง รวมทั้งรับทราบกรณีพรรคประชาราชที่นายเสนาะ เทียนทอง อดีต ส.ส.เป็นผู้ก่อตั้งมีมติขอเลิกพรรค ทำให้ กกต.ต้องประกาศให้พรรคประชาราชสิ้นสภาพ โดยจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ดังนั้นจึงถือว่าขณะนี้มีพรรคการเมืองเก่าที่ยังดำเนินกิจการอยู่รวม 68 พรรค และมีพรรคการเมืองที่จดทะเบียนใหม่ 2 พรรค จึงมีพรรคการเมืองที่ดำเนินกิจการในปัจจุบันรวม 70 พรรคการเมือง
     พ.ต.อ.จรุงวิทย์ยังกล่าวถึงการรับจดทะเบียนพรรคค่อนข้างล่าช้าว่า เนื่องจากพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองกำหนดคุณสมบัติของสมาชิกพรรคไว้สูง ทำให้เมื่อมีการยื่นรายชื่อผู้ร่วมก่อตั้ง 500 คนเข้ามา สำนักงาน กกต.ต้องตรวจสอบอย่างเข้มข้น เมื่อพบว่ามีไม่ถูกต้อง เช่น มีชื่อไปเป็นสมาชิกพรรคการเมืองอื่นด้วย ก็ประสานให้พรรคแก้ไข จึงทำให้ค่อนข้างใช้เวลา
     “นายทะเบียนพรรคการเมืองจะเร่งพิจารณาคำขอจดทะเบียนตั้งพรรคการเมืองที่ยื่นเข้ามา และยังเหลืออีก 8 พรรค ประกอบด้วย พรรคประชาภิวัฒน์, พรรครวมใจไทย, พรรคพลังพลเมืองไทย, พรรคประชาธรรมไทย, พรรคพลังธรรมใหม่, พรรคประชาชนปฏิรูป, พรรคอนาคตใหม่ และพรรคไทยธรรม เพื่อรับจดทะเบียนให้เป็นพรรคการเมืองโดยเร็วต่อไป” พ.ต.อ.จรุงวิทย์กล่าว.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"