อะไรคือ 'อำนาจพิเศษหมายเลข 25' ที่จะปลด 'โดนัลด์ ทรัมป์' ได้?


เพิ่มเพื่อน    

    เสียงดังกระหึ่มจากฝ่ายค้านในรัฐสภาสหรัฐฯ ให้ปลดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ด้วย "บทแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ 25" หรือ The 25th Amendment 
    เขาไม่รอให้เข้ากระบวนการ "ไต่สวนเพื่อถอดถอน" หรือ Impeachment ซึ่งเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้ทรัมป์หลุดจากตำแหน่งได้
    เสียงเรียกร้องให้หาทางปลดผู้นำสหรัฐฯ ครั้งนี้มาจากเรื่องอื้อฉาวสองเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นเกือบจะพร้อมๆ กัน
    ระเบิดลูกแรกคือเนื้อหาบางตอนจากหนังสือเล่มใหม่ (ที่กำลังจะวางร้านในสัปดาห์หน้า) ที่เขียนโดยนักข่าวอาวุโส Bob Woodward ที่แฉถึงความเละเทะในการบริหารงานของทรัมป์อย่างละเอียดถี่ยิบ
    นักเขียนคนนี้เอาชื่อเสียงเป็นประกัน ในฐานะเป็นหนึ่งในสองนักข่าวที่ขุดคุ้ยข่าวเกรียวกราวเรื่อง Watergate จนริชาร์ด นิกสันต้องลาออกจากประธานาธิบดี และเคยเขียนหนังสือเกี่ยวกับประธานาธิบดีมะกันมา 8 คน
    ระเบิดลูกที่สองที่ตูมตามออกมาติดๆ กัน คือบทความเห็น "นิรนาม" ในหนังสือพิมพ์ New York  Times ที่ยืนยันว่าคนเขียนเป็น "เจ้าหน้าที่ชั้นสูงในทำเนียบขาว"
    บทความนี้เปิดโปงถึงวิธีการทำงานของทรัมป์ที่เป็นอันตรายต่อชาติบ้านเมือง อีกทั้งยังระบุว่าหลายคนที่อยู่รอบๆ ทรัมป์ก็กำลังคิดถึงวิธีกำจัดทรัมป์ด้วยการใช้ 25th Amendment ในรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ ในอันที่จะทำให้ทรัมป์หลุดจากตำแหน่งเพื่อจะได้ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติไปมากกว่านี้
    วันต่อมาสมาชิกวุฒิสภาคนดังของพรรคเดโมแครต Elizabeth Warren ก็ออกมาสำทับว่าได้เวลาแล้วที่คณะรัฐมนตรีของทรัมป์จะต้องตระหนักในหน้าที่กอบกู้ชาติบ้านเมือง ด้วยการใช้อำนาจหมายเลข  25 นี้เพื่อเปลี่ยนประธานาธิบดีเสีย
    อะไรคือ "อำนาจหมายเลข 25"?
    อำนาจพิเศษที่ว่านี้ระบุว่า หากรองประธานาธิบดีและเสียงส่วนใหญ่ในคณะรัฐมนตรีเห็นว่าประธานาธิบดีทำงานไม่ได้ จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ให้ทำหนังสือยืนยันความเห็นพ้องเช่นนั้นไปยังประธานวุฒิสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร
    ทันทีที่ส่งหนังสือนี้ไป รองประธานาธิบดี (ในกรณีนี้คือไมก์ เพนซ์) จะขึ้นมารักษาการตำแหน่งประธานาธิบดีทันที
    ประธานาธิบดีมีสิทธิ์ที่จะเขียนหนังสือประกาศแย้งว่าตัวเองยังมีความสามารถที่จะบริหารประเทศต่อไป
    รองประธานาธิบดีและรัฐมนตรีเสียงส่วนใหญ่มีสิทธิ์จะแสดงจุดยืนอีกครั้ง ด้วยการออกเป็นหนังสือว่าประธานาธิบดีทำงานไม่ได้
    จากนั้นสภาทั้งสองก็จะลงมติ หากได้เสียง 2 ใน 3 ประธานาธิบดีก็จะหลุดจากตำแหน่ง และรองประธานาธิบดีก็จะเดินหน้าบริหารประเทศในฐานะประธานาธิบดีไปเลย
    ที่จะยากก็ตรงที่ต้องได้เสียง 2 ใน 3 นี่แหละ เพราะพรรครีพับลิกันของทรัมป์ยังครองเสียงข้างมากในทั้งสองสภา
    ดังนั้น การเลือกตั้งกลางเทอมในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้จึงเป็นการตัดสินชะตากรรมทางการเมืองของทรัมป์
    หากพรรคเดโมแครตเจาะฐานเสียงของทรัมป์ได้ และสามารถได้เสียงข้างมากในสภาใดสภาหนึ่ง  โอกาสที่จะผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ครั้งแรกของอเมริกาก็สูงขึ้นกว่าวันนี้
    ทรัมป์จึงดิ้นสุดฤทธิ์ พยายามปลุกระดมให้ผู้คนออกไปลงคะแนนรักษาเก้าอี้ของ ส.ส.และ ส.ว.ในคองเกรสให้เหนียวแน่นอย่างน้อยก็เท่าเดิม
    หากฝ่ายต่อต้านทรัมป์คิดจะใช้วิธีการ Impeachment เพื่อเขย่าเก้าอี้ทรัมป์ในจังหวะที่เขาอ่อนแอที่สุด ก็ยังต้องเอาชนะการเลือกตั้งกลางเทอมนี้ให้ได้อยู่ดี
    เพราะกระบวนการไต่สวนเพื่อถอดถอนทรัมป์นั้น ต้องผ่านความเห็นชอบสภาผู้แทนราษฎร (เสียงส่วนใหญ่) ก่อนแล้วจึงจะมาตัดสินกันที่วุฒิสภา (ต้องใช้เสียง 2 ใน 3 เหมือนกัน)
    ขณะนี้จึงกลายเป็นสงครามแย่งชิงศรัทธาประชาชนระหว่างทรัมป์กับพรรคเดโมแครตอย่างดุเดือด 
    เนื้อหาของหนังสือ Fear (ความกลัว) ของนักหนังสือพิมพ์อาวุโส Bob Woodward เปิดแผลใหญ่ของทรัมป์อย่างมีนัยสำคัญ เพราะเขายืนยันว่าประโยคเด็ดๆ ที่สะท้อนว่าทรัมป์เป็นนักบริหารที่แย่มาก ๆ นั้น มาจากการสัมภาษณ์คนในทำเนียบขาวและผู้รู้เรื่องดีที่เขาอัดเทปเอาไว้เป็นหลักฐานทั้งสิ้น
    ยิ่งเมื่อต่อมาไม่กี่วัน มีบทความ "นิรนาม" ที่อ้างว่าเป็นคนระดับสูงใกล้ชิดทรัมป์ออกมากล่าวหาทรัมป์ในทำนองละม้ายคล้ายกันมาก ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าบัดนี้ได้เกิด "กบฏเงียบในทำเนียบขาว" ที่ต้องการจะโค่นทรัมป์แล้ว
    ทั้งหนังสือและบทความที่ว่านี้มีข้อสรุปตรงกันว่า สภาพจิตของทรัมป์ไม่ปกติ, การตัดสินใจของทรัมป์ไม่ได้อยู่บนเหตุผล ตรงกันข้ามหลายอย่างที่ทรัมป์ตัดสินใจและทำนั้นเป็นการทำลายสหรัฐฯ อย่างน่ากังวลยิ่ง
    ทรัมป์ออกมาตอบโต้อย่างดุเดือดรุนแรงตามคาด ตอบโต้คนเขียนหนังสือว่าไร้ความรับผิดชอบ และคนเขียนบทความนิรนามนั้นเป็น "คนขายชาติ"
    ทรัมป์ต้องการให้หนังสือพิมพ์ New York Times เปิดเผยชื่อคนเขียนบทความชิ้นนั้น แต่อย่างไรเสียบรรณาธิการคงไม่ยอมทำตาม เพราะการรักษาความลับของ "แหล่งข่าว" เป็นหัวใจของการทำสื่อที่รับผิดชอบในระบอบประชาธิปไตย
    ทรัมป์จะทำงานต่อไปได้อย่างไร ในเมื่อเขาต้องระแวงว่าคนรอบข้างเขาแต่ละคน คนไหนคือคนแทงข้างหลังเขา
    คนรอบข้างต่างออกมาปฏิเสธกันเป็นพัลวัน แต่กรณี Watergate ปี 1974 บอกผมว่า "คนเป่านกหวีด" เสียงดังจากในทำเนียบขาวนั้นหนีไม่พ้น "หอกข้างแคร่" หรือ "หนอนบ่อนไส้" แน่นอน!


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"