สถิติที่น่าละอาย: คนไทย ตายบนท้องถนนสูงสุดในโลก!


เพิ่มเพื่อน    


    วิเคราะห์สถิตินี้แล้วจะเห็นว่าประเทศไทยเรา นอกจากจะมียอดคนตายด้วยอุบัติเหตุทางถนนมากที่สุดในโลกแล้ว (18,000 คนต่อปี หรือวันละ 50 คน ไม่นับที่บาดเจ็บและพิการ) ยังมีประเด็นที่น่าสลดหนักกว่านั้นอีก
    เพราะเด็กและเยาวชนตายเฉลี่ยปีละ 2,510 คน
    และวัยรุ่นอายุระหว่าง 15-25 ปีตายมากที่สุดด้วย
    นั่นย่อมแปลว่าเราสูญเสียทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่าไปอย่างไร้เหตุไร้ผล...เพียงเพราะเราขาดวินัย  ไม่จริงจังกับการปฏิบัติตามกฎหมายและไม่เห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์
    เมื่อวานผมเล่าให้ฟังถึงความพยายามของคุณหมอแท้จริง ศิริพานิช เลขาฯ มูลนิธิเมาไม่ขับ และอาจารย์พูลพร แสงบางปลา ประธานสาขายานยนต์ของวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในการรณรงค์ให้คนทั้งประเทศลุกขึ้นมาตระหนักและตระหนกถึงปัญหาที่หนักหน่วงและร้ายแรงนี้อย่างจริงจังเสียที
    เพราะที่ผ่านมาเราสนใจแต่เพียง "7 วันอันตราย"
    ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว เรากำลังตกอยู่ในสภาวะ "ทุกวันอันตราย" เพราะคนไทยตายบนท้องถนนเฉลี่ยวันละ 50 คน หรือปีละเกือบ 20,000 คน ซึ่งสูงกว่าหลายประเทศในแอฟริกาหรือชาติที่มีการสู้รบกันมาอย่างยาวนานด้วยซ้ำไป
    ดังนั้น อาจารย์พูลพรจึงทำจดหมายถึงอธิการบดีทุกมหาวิทยาลัย ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคทั่วประเทศ อาจารย์ใหญ่โรงเรียนมัธยมทั้งหลายทั้งปวง และผู้จัดการโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ขอให้ช่วยกันรณรงค์ดังนี้
    ๑.ดูแลบุคลากรที่ขับขี่จักรยานยนต์ในหน่วยงานให้ถูกกฎหมายและกฎจราจร เมาไม่ขับ ต้องสวมใส่หมวกกันน็อกที่ได้มาตรฐานอุตสาหกรรม ไม่ขับขี่รถสวนทาง รวมถึงต้องมีใบอนุญาตขับขี่
    ๒.บำรุงรักษาให้ปลอดภัยในการใช้งาน ต้องมีไฟหน้า ไฟท้าย รวมทั้งของที่วางในตะกร้าหน้ารถต้องไม่บังไฟ
    ๓.ควบคุมความเร็วของรถให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
    ๔.ตรวจสอบสภาพถนนและขับขี่อย่างระมัดระวัง
    ๕.ตั้งชมรมขี่จักรยานยนต์ในองค์กรของท่าน เพื่อทำหน้าที่รณรงค์และดูแลให้ลดอุบัติเหตุในหน่วยงานของท่าน รวมทั้งเก็บข้อมูลอุบัติเหตุจากการใช้รถจักรยานยนต์ด้วย    
    ๖.ทางสมาคมผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ยินดีส่งวิทยากรไปให้ความรู้ การขับขี่ที่ถูกต้องและปลอดภัย
    คุณหมอแท้จริงบอกผมว่าคนไทยขาดวินัย และเจ้าหน้าที่ไม่บังคับใช้กฎหมาย เราจึงตกอยู่ในสภาพที่คนตายเกลื่อนถนนอย่างที่เป็นอยู่ 
    แม้จะมีการรณรงค์ "7 วันอันตราย" มาหลายปี แต่สถานการณ์ก็ไม่ได้กระเตื้องขึ้น เพราะทั้งรัฐบาลและเอกชนสนใจแต่เพียง "เทศกาล" ต่างๆ ที่มีคนตายมากกว่าปกติเท่านั้น
    ทั้งที่ความจริงคนไทยตายบนท้องถนนทุกวัน และจำนวนก็ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด
    คุณหมอยกตัวอย่างเรื่องวินัยประจำชาติที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง
    ชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งถูกตำรวจจับเพราะกินเหล้าแล้วขับรถในกรุงเทพฯ
    บทสนทนาที่เกิดขึ้นระหว่างเจ้าหน้าที่กับชาวญี่ปุ่นคนนั้นเป็นอย่างนี้:
    เจ้าหน้าที่: คุณเป็นคนญี่ปุ่นซึ่งควรจะมีวินัยมาก เพราะเห็นว่าที่บ้านคุณเขาเคร่งครัดมากเรื่องไม่เมาแล้วขับรถไม่ใช่หรือ
    คนญี่ปุ่น: ใช่ครับ ที่บ้านผมเคร่งครัดมากเรื่องนี้
    เจ้าหน้าที่: ถ้าอยู่บ้านคุณ คุณจะกินเหล้าแล้วขับรถไหม
    คนญี่ปุ่น: ไม่แน่นอน เพราะคนญี่ปุ่นไม่ทำผิดกฎหมายครับ เรามีระเบียบวินัยที่ดีครับ เราไม่ทำตัวเป็นปัญหาของสังคมครับ
    เจ้าหน้าที่: อ้าว ทำไมมาเมืองไทยแล้วคุณจึงขับรถขณะมึนเมาล่ะ
    คนญี่ปุ่น: ความจริงตอนผมมาเมืองไทยใหม่ๆ ก็ไม่ทำครับ เพราะยังเคยชินกับเรื่องต้องเคร่งครัดต่อกฎหมาย แต่อยู่เมืองไทยนานเข้าเราก็เป็นเหมือนคนไทยครับ ที่ทำงานผมคนญี่ปุ่น ตั้งแต่ระดับบริหารถึงระดับทำงานก็เริ่มเป็นแบบคนไทยครับ ทำอย่างคนไทย คือกินเหล้าแล้วขับรถก็เป็นเรื่องธรรมดา...
    นี่คือตัวอย่างของการที่ "ทำอะไรตามใจคือไทยแท้" ที่ไม่เพียงแต่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของคนไทยเท่านั้น
    แต่คนต่างชาติที่ว่าเคร่งครัดกับกฎหมายนั้น พอมาอยู่เมืองไทยก็จะเริ่มปรับตัวไปในทางที่แย่ลงให้เหมือนสังคมไทยเรา
    เราอาจไม่รู้ตัว แต่ความไร้วินัยไร้สำนึกต่อส่วนรวมนี่ไม่เพียงแต่มีผลกระทบต่อสังคมไทยเราเองเท่านั้น ยังมีผลร้ายต่อชาติอื่นที่พอมาอยู่ในบรรยากาศแบบไทยๆ แล้วก็กลายเป็นคนไร้วินัยไปด้วย
    คนดีๆ จากที่ไหนก็ต้องมาเสียคนในเมืองไทยได้ด้วยเหตุฉะนี้แล!


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"