ค่าเงินเหรียญสหรัฐที่อ่อนค่าลง ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง และส่งผลกระทบต่อธุรกิจกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ส่วนใหญ่จะพึ่งพิงการส่งออกเป็นหลัก เนื่องจากมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงราคาวัตถุดิบอย่างเช่นทองแดงและทองคำปรับสูงขึ้น

          นายกิจพล ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า นักวิเคราะห์เตรียมปรับลดประมาณการกำไรหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ปี 61 ลง ภายหลังจากประกาศผลประกอบการของงวดไตรมาส 4 ปี เมื่อปี 2560

               ทั้งนี้รายงานข่าวจากบล.เอเซีย พลัส ระบุว่า แนวโน้มกำไรสุทธิงวดไตรมาส 4 ปี 60 ของกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จะลดลง 15.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับไตรมาส 4 ปี 59 เนื่องจากเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของอุตสาหกรรมส่งออกชิ้นส่วนไปต่างประเทศ ซึ่งเป็นปกติของอุตสาหกรรมฯ ส่วนทั้งปี 60 คาดกำไรสุทธิจะลดลง 9.8% ขณะที่ กำไรสุทธิไตรมาสแรก ปี 61 คาดจะทรงตัวระดับต่ำใกล้เคียงกับไตรมาส 4 ปี 60 แต่จะกลับมาเติบโตโดดเด่นในไตรมาส 2 – 3 ปี 61 หลังจากเข้าสู่ฤดูกาลส่งออกของกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยคาดว่าทั้งปี 61 คาดกำไรสุทธิจะอยู่ที่ 9%

          สำหรับความเสี่ยงเกี่ยวกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่อง พบว่า ทุกๆ 1 บาท ที่ค่าเงินบาทแข็งค่ากว่าสมมติฐานค่าเงินบาทเฉลี่ยปี 61 ที่ 33 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ส่งผลกระทบต่อคาดการณ์กำไรสุทธิกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ให้ลดลง 5.8% จากปัจจุบัน แต่ยังต้องเฝ้าระวังความเสี่ยงจากแนวโน้มราคาวัตถุดิบในการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่สูงขึ้น เนื่องจากปัจจุบันความต้องการใช้สูงมาก ทำให้มีการแย่งกันซื้อ โดยคาดว่าราคาทองแดงเฉลี่ยปี 61 อยู่ที่ 6,800 เหรียญสหรัฐต่อตัน ส่งผลให้ความกังวลเกี่ยวกับต้นทุนวัตถุดิบทองแดงยังจำกัด แต่ยังต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

         อย่างไรก็ตาม สัญญาณบวกที่เห็นได้ชัดเจนขึ้นในกลุ่มผู้ประกอบการชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ไทย ส่วนใหญ่อยู่ในขั้นต้นน้ำและกลางน้ำ ซึ่งมีการเตรียมความพร้อมรับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในประเทศหลัก ได้แก่ สหรัฐ ญี่ปุ่น จีน และยุโรป.