"ช่วยจัดทริปให้ฉันไปเที่ยวที่คิลิมันจาโรหน่อยได้ไหม"ดร.สุเมธ เผยฝันเห็นในหลวงร.9รับสั่ง


เพิ่มเพื่อน    

13ต.ค.61 - ดร.สุเมธ เล่า"เลขาฯ มูลนิธิชัยพัฒนา” เล่าเรื่องราว ในหลวง ร.9 เผย ฝันเห็นพระองค์ท่าน รับสั่ง “ช่วยจัดทริปให้ฉันไปเที่ยวที่คิลิมันจาโรหน่อยได้ไหม” แย้ม น่าเสียดายคนไทยที่ได้ยินคนไทยก็ได้เห็นพระองค์ท่าน แต่ไม่ค่อยได้ฟัง ไม่ค่อยได้มองและไม่ค่อยได้ปฏิบัติตาม ย้ำ พระองค์ท่านใช้เวลา 8 เดือนใน 1 ปี ทำงานอย่างหนักตลอดระยะเวลา 70 ปี แนะ เราเหนื่อยสักนิดดีหรือไม่ เพื่ออนาคตของประเทศ

ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา กล่าวปาฐกถาเทิดพระเกียรติในหัวข้อ "ศิระกรานพระภูบาลนวมินทร์" ตอนหนึ่งว่า เวลาที่ตนมีโอกาสได้กล่าวหรือเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร จำได้ว่าการเล่าครั้งที่แล้วเต็มไปด้วยอารมณ์ และความรู้สึกที่เศร้าโศกเสียใจ รู้สึกกับสิ่งที่เราเคยมีและสูญหายไป ปีนี้เป็นปีที่ 2 ตนคิดว่าเราควรที่จะควบคุมอารมณ์ และนำตัวเองไปสู่อีกส่วนหนึ่งที่น่าจะมีความสำคัญกว่าอารมณ์ด้วยซ้ำไป นั้นก็คือการนำตัวเองไปสู่ปัญญา ซึ่งคำพูดนี้ตนไม่ได้เป็นคนพูดเอง แต่เป็นสิ่งที่ตนได้รับมาจากในหลวง รัชกาลที่ 9 พระองค์ทรงสอนเสมอว่าให้ใช้ปัญญา อย่าใช้อารมณ์ เพราะอารมณ์บางครั้งก็นำพาเราไปในสิ่งที่ไม่ได้เกิดประโยชน์เลย และหากเราสังเกตคำว่าประโยชน์จะอยู่คู่กับในหลวง ร.9 ตลอดมา นับตั้งแต่เมื่อวันที่ 5 พ.ค.2493 ที่พระองค์ทรงเสด็จขึ้นครองราชย์ พระองค์ก็ทรงสัญญากับเราว่า

 “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” เพราะฉะนั้นตลอดระยะเวลา 70 ปีที่ทรงครองราชย์มา ทรงครองแผ่นดิน"

ทรงดูแลแผ่นดินโดยที่ไม่ได้มีอำนาจอะไรให้ทรงใช้ นอกจากศรัทธา ความรัก ความเมตตา และเหนือสิ่งใดคือความรับผิดชอบ ในฐานะประมุขของประเทศ และแผ่นดินสำหรับใครบางคนนั้นน่าจะเป็นนามธรรม แต่ความจริงแล้วไม่ใช่แผ่นดินเป็นสิ่งที่จับต้องได้ ปัจจัยของแผ่นดินก็คือปัจจัยของชีวิตเรา ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ป่า ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่รอบตัว ที่เราเคยเรียกว่าธรรมชาติ แต่น่าเสียดายในปัจจุบันนี้พวกเราไม่นิยมที่จะเรียกว่าธรรมชาติอีกแล้ว และเปลี่ยนไปเรียกว่าทรัพยากร ซึ่งตนมองว่าพอเรียกเป็นทรัพย์เมื่อไรก็บรรลัยหมดพอเรียกแบบนั้น ป่าทั้งป่าก็หายเกลี้ยง แม่น้ำ ลำธารก็หายหมด เพราะเราเปลี่ยนมันเป็นทรัพย์หมด ธรรมะก็หายไปเลย แต่ในหลวง ร.9 ก็ทรงทำทุกสิ่งทุกอย่างรักษาส่งที่ยังเหลืออยู่ไม่มากนักแต่ว่าก็พอ ถ้าหากเราตั้งสติได้ให้มันคงอยู่ต่อไป พื้นที่ส่วนพื้นที่ที่เสียไปแล้วก็ฟื้นฟูกลับมา

“ผมขอใช้คำพูดแบบภาษาชาวบ้านว่า พระองค์ทรงพยายามอย่างทรหดอดทน เพื่อย้ำพวกเราว่าตลอดระยะเวลา 70 ปี ทรงใช้เวลาอยู่ต่างจังหวัดถึง 8 เดือนใน 1 ปี และทุกวันเป็นวันที่เหนื่อยที่สุด และในแต่ละเรื่องพระองค์ทรงสอนอย่างละเอียดไม่ว่าจะเป็นเรื่องฟื้นฟูป่า และการบริหารน้ำซึ่งเป็นปัจจัยของชีวิตว่าจะทำอย่างไรให้พอเพียง รวมถึงบริหารคุณธรรมให้กับเราด้วย เพื่อให้แผ่นดินนี้เป็นแผ่นดินที่มีความสุข เพราะพระองค์ท่านไม่ได้สร้างประโยชน์ให้เราเพียงอย่างเดียว พระองค์ท่านทรงใช้คำว่า ”ประโยชน์สุข” 
ทรงรับสั่งก่อนที่องค์การสหประชาชาติจะพูดถึงเรื่องมวลรวมความสุขอีก แต่น่าเสียดายคนไทยที่ได้ยินคนไทยก็ได้เห็นพระองค์ท่าน แต่ไม่ค่อยได้ฟังและไม่ค่อยได้มองและไม่ค่อยได้ปฏิบัติตาม ผมจำได้ว่าการบรรยายรอบที่แล้วกว่าครึ่งห้องน้ำตาไหล แต่ในวันนี้น้ำตาแห้งแล้ว ลองกลับมาถามตัวเองดูว่าคำสอนของพระองค์ท่านได้รับการปฏิบัติอะไรบ้าง เพราะถ้าคำตอบไม่มีถือว่าหน้าที่ของเราน่าจะไม่สมบูรณ์ อาจจะบกพร่องและอนาคตอาจจะยุ่งยากไม่ใช่เฉพาะตัวเรา

พระองค์ท่านทำให้เราแล้ววันนี้ท่านได้ประทับอยู่ข้างบนมองเราว่าจะทำต่อหรือไม่ ไม่ใช่ทำเพื่อพระองค์ท่าน เพราะตลอดเวลาที่ผมตามเสด็จพระองค์ท่านไม่ได้ต้องการอะไรจากเราเลย แต่สิ่งที่พระองค์ท่านทำให้เห็นนั้น เราต้องทำต่อเพื่อยกมรดกของแผ่นดินให้แก่ลูกหลานต่อไปอย่างยั่งยืนไม่รู้จบ ถ้าเราไม่ทำผมคิดว่าพวกเราคงใจดำเต็มที และหากเปรียบกับพระองค์ท่านที่ใช้เวลา 8 เดือนใน 1 ปี ทำงานอย่างหนักตลอดระยะเวลา 70 ปี เราเหนื่อยสักนิดดีหรือไม่ เพื่ออนาคตของประเทศ”

นายสุเมธ กล่าวต่อว่า ในหลวง ร.9 ทรงรับสั่งเสมอว่า เราต้องสนใจชนบท เพราะถ้าคนชนบทอยู่ได้คนเมืองอยู่ได้ แต่หากคนชนบทอยู่ไม่ได้คนเมืองก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน เพราะแหล่งผลิตทั้งหลายอยู่นอกกรุงเทพมหานคร คนในเมืองทุกเมืองบริโภคและถ่ายของเสียเพียงอย่างเดียว ดังนั้นจึงอย่าลืมให้ความสำคัญคนที่เลี้ยงเราอยู่ ดังนั้นพระองค์ท่านจึงใช้ระยะเวลาตลอด 8 เดือนอยู่ต่างจังหวัด และงานของพระองค์ท่านครอบคลุมชีวิตเราตั้งแต่บนฟ้า คือโครงการฝนหลวง และใช้น้ำทำงานแทนพระองค์ท่าน โดยน้ำที่มาจากท้องฟ้าจะทำหน้าที่แรกคือ สร้างป่าอนุรักษ์พื้นที่ต้นน้ำ และมีพื้นที่พักน้ำบริเวณกลางเขาผลิตโปรตีนราคาถูก คือ ปลาให้กับชาวบ้าน จากกลางเขาลงมาถึงตีนเขาก็ปลูกป่าที่ 2 คือ ป่าเศรษฐกิจ มาถึงตีนเขาก็มีพื้นที่พักน้ำ และจึงไปรวมอยู่ที่เขื่อน ก่อนที่จะปล่อยไปสู่ที่ราบและไปรวมตัวสู่แม่น้ำ และเมื่อน้ำเข้าเมือง เมืองก็จะปล่อยเป็นน้ำเสียออกมา ในหลวง ร.9 ก็ทรงตามไปบำบัด โดยการสร้างโรงบำบัดน้ำเสียพลังงานธรรมชาติ เสร็จแล้วจึงปล่อยให้กับป่าชายเลน เมื่อพระองค์ท่านลงพื้นที่ไปยังจังหวัดต่างๆ เมื่อท่านประสบความลำบากท่านก็แก้ไข แม้ว่าจะเป็นปัญหาของคนอื่นท่านยิ่งจะต้องแก้ไข 

เพราะเมื่อวันแรกที่องค์พระท่านรับสั่งตนเข้าเฝ้า ทรงตรัสว่า ขอบใจนะที่จะมาช่วยฉันทำงาน แต่ฉันบอกเธอก่อนว่าฉันไม่มีอะไรจะให้นะ นอกจากความสุขที่จะมีร่วมกันในการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น ซึ่งเป็นประโยคที่ตนไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับ เพราะตนคิดว่าความสุขจะต้องทำให้กับตนเอง ดังนั้นผู้ที่ถวายงานให้กับพระองค์ท่านทุกคนจึงทำตามคำสอนของพระองค์ คือ นึกถึงคนอื่นก่อน นึกส่วนร่วม นึกถึงประเทศก่อน เอาตัวเองไว้หลังสุด แต่ทุกวันนี้ถึงขนาดต้องบังคับกันให้มีการทำความรับผิดชอบต่อสังคมและ สิ่งแวดล้อมขององค์กร (CSR) เพราะเราลืมว่าสิ่งที่เราทำมันทำร้ายรอบข้างหมด สุดท้ายเราก็ตายท่ามกลางสมบัติที่เราสร้างมา 

นายสุเมธ กล่าวอีกว่า โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเกิดจากความทุกข์ของประชาชน ที่ความสุขของพระองค์คือการเข้าไปแก้ไข ที่พระองค์ท่านใช้คำว่าอันเนื่องมา ก็เพราะพระองค์ได้รับสั่งแล้ว พวกเธอต้องไปคิดต่อว่าเหมาะสมหรือไม่ อย่างไร จะใช้คำถามตามพระราชดำริ หรือตามพระราชประสงค์ไม่ได้เด็ดขาด พระองค์ทรงเป็นประชาธิปไตยที่สุด ซึ่งในตอนเริ่มโครงการช่วงแรกประเทศมีปัญหาโรคเรื้อน ผู้ที่เป็นโรคเรื้อนโดนสังคมรังเกียจเหมือนกับผู้ติดเชื้อ HIV พระองค์ท่านจึงคิดว่าจะสื่อสารอย่างไรให้ประชาชนเข้าใจว่าโรคเรื้อนไม่ได้ติดต่อได้ง่าย พระองค์จึงไปที่พระประแดงนั่งคุยกับผู้ที่เป็นโรคเรื้อน และผู้ที่เป็นโรคเรื้อนก็ตักน้ำให้แก้วยื่นให้พระองค์ ซึ่งพระองค์ท่านก็ดื่ม เพื่อที่จะสื่อให้ประชาชนได้เห็นว่ามันไม่ได้ติดง่าย จึงยอมสละพระองค์เองเพื่อเป็นตัวอย่าง และยังมีเรื่องเกลือไอโอดีน ที่กระทรวงสาธารณสุขไปเติมไอโอดีนให้กับพื้นที่ต่างๆ แต่พระองค์ท่านกลับมองหาว่าเกลือที่ส่งไปยังภาคเหนือและอีสานมาจากไหน ซึ่งมาจากเกลือสินเธาว์ พระองค์จึงรับสั่งให้มีการเติมไอโอดีนที่ต้นทาง เพื่อให้เกลือกระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ เอง นี่คือพระองค์ท่านผู้ที่ไม่เคยหยุดที่จะคิดหยุดที่จะทำเพื่อคนอื่น

“เมื่อพระองค์ท่านเสด็จสวรรคตไป ผมก็ฝันเห็นพระองค์ท่าน 2-3 ครั้ง แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาการพะวงเนื่องจากต้องมาบรรยายหรือไม่ เมื่อคืนวานนี้ (12 ต.ค.) ผมฝันถึงพระองค์ท่านสิ่งที่ได้เห็นคือ พระองค์ทรงชื่นบานมาก แจ่มใส ทรงใส่เสื้อสีขาว เป็นภาพที่ผมไม่เคยเห็นและทรงบอกผมว่าวันนี้ช่วยจัดทริปให้ฉันไปเที่ยวที่คิลิมันจาโรหน่อยได้ไหม ฉันอยากจะไปเห็นเหลือเกิน ถึงแม้ว่าความฝันนี้จะเป็นเรื่องในฝันของผม แต่ในฐานะพระเจ้าแผ่นดินทรงอยากที่จะไปในหลายที่ มีรับสั่งหลายหนว่า อยากไปเห็นเขื่อนสามผาของประเทศจีน อยากเสร็จไปประเทศญี่ปุ่น แต่ก็เสด็จไปไม่ได้ ไม่ใช่ไม่อยากไป แต่งานในบ้านในเมืองของเราก็ยังมีอยู่จึงไม่สมควรที่จะไปเที่ยวที่นู้นที่นี้ เพราะอย่างตอนที่พระองค์ท่านจะเสด็จไปเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ซึ่งจำเป็นต้องไปที่ประเทศลาว ต้องมีการหาเหตุผลมาอย่างยาวนานมาก และเปลี่ยนเป็นงานคือเสด็จทอดพระเนตรโครงการพระราชดำริ ที่ประเทศลาว เนื่องจากหากพระองค์ท่านเสด็จครั้งนี้ เมื่อประเทศต่างๆ กราบบังคมทูลเชิญจะไม่ไปก็ไม่ได้ จะเห็นว่าพระองค์ท่านชีวิตไม่ได้สุขสบายอย่างเราที่คิดจะทำอะไรก็ได้ ถึงแม้จะทำได้แต่พระองค์ก็ไม่ทำ อยู่ด้วยความสุขที่นะสร้างความสุขให้กับคนในประเทศตลอดเวลา ไม่เคยคำนึงเลยว่าตัวพระองค์จะทุกข์จะร้อน จะเปียกฝน หรือจะตากแดดอย่าไรไม่เคยบ่น”เลขาฯ มูลนิธิชัยพัฒนา กล่าว


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"