ไทยจะตามทันด้าน AI ได้อย่างไร?


เพิ่มเพื่อน    

        ผมตั้งวงคุยกับคุณเรืองโรจน์ “กระทิง” พูนผล ที่มีสมญาว่า “เจ้าพ่อ startup ประเทศไทย” หลังจากเขาเพิ่งกลับจากการไปสำรวจสถานการณ์การพัฒนาเทคโนโลยีของจีนและสหรัฐล่าสุด นี่คืออีกส่วนหนึ่งของบทสนทนานั้น

สุทธิชัย 0 เราเสียโอกาส เรายังไม่ตระหนักในสิ่งที่เรามี และเรายังไม่มีการเชื่อมต่อระหว่างเทคโนโลยีกับทุน และกับ startup และกับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้วย ตรงนี้แหละที่จะเป็นบทบาทของคุณกระทิงใช่ไหม

เรืองโรจน์ 0 ก็จะพยายามครับ ต้องช่วยกันครับ คนเดียวทำไม่ไหว แต่มีอีกอันหนึ่งที่ผมว่าน่าสนใจคือ การปลดล็อก PhD ประเทศไทยเรา PhD หรือเด็กทุนที่เก่งมากๆ มีคนเก่งเยอะมาก จบจากมหาวิทยาลัยดีๆ ทั้งนั้น

        ผมคิดว่าเราน่าจะสามารถปลดล็อกอาจารย์เหล่านั้นที่จบจากมหาวิทยาลัยเหล่านั้นแล้ว เหมือนว่าอยากเป็นผู้ประกอบการ ให้เค้ามีทางเลือกอีกทาง แต่เราก็รู้ว่ามหาวิทยาลัยถูก disrupt กันทั้งหมด แทนที่เราจะปล่อยให้เค้าไป แต่มันมีอีกทางคือเป็น PhD ที่มาเป็นผู้ประกอบการ คือถ้าเราดู food agri bio ที่ผมไป อย่างผมไปงาน Future of Food Conference ผู้ประกอบการเป็น PhD และบางคนเรียกว่า grey hair คือเป็น area ของ startup ที่ผู้ก่อตั้งผมขาว เป็นวัยกลางคนกันหมด

สุทธิชัย 0 หมายความว่าอย่าดูถูกคนแก่นะ

เรืองโรจน์ 0 ใช่ครับ ผมว่าอันนี้น่าสนใจมากครับ ผมว่ารัฐบาลสามารถช่วยเหลือได้ เรื่องการ unlock พวก PhD นักเรียนทุน และอาจารย์

สุทธิชัย 0 Unlock แปลว่าอะไร พวกเขาไม่ต้องใช้ทุนคืนทั้งหมด หรือว่าปล่อยให้พวกเขาออกมาทำในสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องเป็นราชการอย่างนั้นใช่ไหม

เรืองโรจน์ 0 ใช่ครับ คือเปิดเส้นทางใหม่ให้พวกเขา ถ้าพวกเขาออกมาเปิดธุรกิจ เปิด startup ของเขาเองได้หรือเปล่า ผมว่าเป็นไอเดียที่เราน่าจะคุยกันและน่าเอามาทำ ถ้าเรา unlock PhD ที่เป็นอาจารย์ หรือนักวิจัยต่างๆ ที่ให้ทางเลือกพวกเขาอีกทาง สมมติว่าสักร้อยคนก่อน เป็น pilot เราก็ได้ startup มาร้อยตัวทันที มันเร็วมาก 

สุทธิชัย 0 แปลว่า PhD เราเก่งๆ ไปถูกล็อกเอาไว้ในระบบราชการ ไม่สามารถทำอะไรนอกเหนือจากกฎ เพราะว่าถ้าคุณได้ทุนเรียน 5 ปี ต้องคืนทุน 10 ปี ก็ทำงานราชการ 10 ปี แต่ว่าในช่วง 10 ปีนี้ ถึงแม้ว่าจะมีโอกาสดีๆ แต่ว่าไม่ได้อยู่ในกรอบของระเบียบเดิมก็ทำไม่ได้ ดังนั้นต้องแก้ที่ไหน แก้ที่กฎหมาย แก้ที่ระเบียบ ก.พ.

เรืองโรจน์ 0 อันนี้ไม่ทราบเลย แต่ผมว่ารัฐบาลแก้ได้ จริงๆ อาจมีแนวคิดอยู่แล้ว ผมอยากให้ทำเป็นรูปธรรมจะดีมากๆ

สุทธิชัย 0 การที่ไปจีนกับอเมริกาครั้งนี้ สิ่งที่คุณกระทิงได้เรียนรู้และได้บทเรียนและอัพเดตตัวเอง อะไรเป็นหัวใจสำคัญที่สุดสำหรับคนไทยครับ

เรืองโรจน์ 0 ถ้าให้ผมสรุป ข้อที่ 1 สำหรับผู้ประกอบการ startup ไทย อย่าใช้เงินเป็นตัวตั้ง จงใช้เรื่องที่สำคัญ และ 2 ทำอย่างไรให้มีประสิทธิภาพที่สุด startup เป็นเรื่องของการทำอะไรที่บริษัทใหญ่ๆ ทำไม่ได้ เราต้องหาวิธีการที่ดีกว่า ถูกกว่า เร็วกว่า มีประสิทธิภาพกว่า สมมติบริษัทใหญ่บอกว่าจะทำด้านนี้ ต้องใช้เงินเท่านี้ ใช้คนเท่านี้ นั่นคือหน้าที่ของ startup ที่ต้องหาวิธีที่ดีกว่าเอามาทำให้ได้ อย่าง food agri bio อย่างที่บอก ขนาด area ที่ต้องใช้การวิจัยเยอะมาก ยังมีวิธีการทำแบบผอมและเปรียวได้ จงอย่าใช้เงินเป็นตัวตั้ง ถ้าเมื่อไหร่คิดว่าต้องใช้เงินเท่านี้ ผมเริ่มต้นไม่ได้ เพราะต้องใช้เงินเท่านี้ หรือผมขยายขนาดไม่ได้ เพราะต้องใช้เงินเท่านี้ แสดงว่าคุณคิดไม่พอครับ

        อย่างผู้ประกอบการจีนระดมทุนได้เยอะ แต่ใช้เงินทุกบาททุกสตางค์ อย่างผมไปซิลิคอนวัลเลย์ startup ตัวนึงเอาน้ำลายหรือของเหลวในร่างกายไป sequence ไปดูว่าอาจเป็นโรคอะไร ระดมทุนได้ 100 ล้านเหรียญฯ ออฟฟิศเค้ายังสวยน้อยกว่า startup ไทยที่ raise ได้ 30-40    ล้านบาท

สุทธิชัย 0 ต้องรู้ว่าเนื้อหาอยู่ตรงไหน อย่าไปเน้นรูปแบบมากเกินไป

เรืองโรจน์ 0 ใช่ อย่าแคร์อิมเมจ ถ้าเกิดว่ายังต้องใช้เงิน แปลว่าเรายังคิดไม่พอ

       พอผมไปฟัง CEO ของบริษัทที่เค้าพาไปดู หรือ startup ที่ทำเรื่อง molecular scanner หรือแม้กระทั่ง startup ที่ บิล เกตส์ ลงทุน Impossible Food ผมเห็น มันจะ resonate เสมอว่า ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณเอาเงินเป็นตัวตั้ง แสดงว่าคุณใช้ความคิดไม่เพียงพอ มันทำแบบกะทัดรัดได้ทุกกรณี แม้กระทั่ง food agri bio ไม่ต้องพูดถึงดิจิตอล

       และผมมี keyword สำหรับประเทศไทย คือโลกในอนาคตจะเปลี่ยนอย่างน่ากลัวมากขึ้น เราผ่านคลื่นของดิจิทัลมาแล้ว กำลังจะเข้าถึงคลื่นของ biotech ผมว่าคนไทยต้องเริ่มมีความรู้ต่อไปนี้

        ผมเรียกว่า A B C D E ซึ่ง A คือ artificial intelligence B คือ biotech C คือ China ส่วน D คือ digital ซึ่งเราต้องมีความเป็น digital native ส่วนตัว E สำคัญมาก คือ effective andempathy คือแม้ว่าโลกถูกเทคโนโลยีเคลื่อนไป ยังไงคนก็ยังโหยหาความเห็นอกเห็นใจ การเข้าใจกัน มันคือความเป็นคนคือ empathy ครับ กับอีกอันตัว E สุดท้าย คือ effectiveness จำไว้เสมอคุณสามารถทำอะไรที่มีประสิทธิภาพ ถูกกว่า ดีกว่า เร็วกว่า อย่าใช้เงินเป็นตัวตั้ง ใช้สมองและวิธีการคิดเป็นตัวตั้ง ผมเลยคิดว่านี่คือ A B C D E ครับ

        (พรุ่งนี้ : สงครามการค้ามีผลต่อจีนและอเมริกาไหม?).


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"